review my focus 2018

ทบทวน 8 เป้าหมายที่ต้องตามติดและลงมือทำ ในปี 2561



เป็น 1 ปี ที่ผ่านไปไวมากจริงๆ 
สิ่งที่รู้สึกได้เลย คือ เมื่อเรามีเป้าหมายในชีวิต และตัดสินใจลงมือทำ
ติดตามทบทวนเป็นระยะ ๆ มันทำให้วิธีคิด วิธีการ ในการใช้ชีวิตของเรา
ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปในแนวทางที่ดีขึ้น ทั้งจิตใจ การงาน สุขภาพ และความสัมพันธ์

สิ่งที่ชอบมากคือ เราได้เริ่มปลูกนิสัยดี ๆ เพิ่มขึ้น และค่อย ๆ ลดนิสัยที่ไม่ดีลง

นิสัย คิดได้ลงมือทำทันที 
มาแทน ผัดวันประกันพรุ่ง

นิสัย การรู้ทันความคิดของตัวเองและคิดก่อนพูด 
มาแทน การด่าสวนกลับทันทีแบบไม่ยั้งคิด 

นิสัย การรับผิดชอบชีวิตตัวเองโฟกัสที่ตัวเอง 
มาแทน การกล่าวโทษและวิจารณ์คนอื่น 

นิสัย การใช้เวลาอย่างคุ้มค่าเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง 
มาแทน การใช้เวลาเสพสิ่งไร้สาระ(ข่าว/ละคร)

นิสัย ลองทำเลย ทั้งๆ ที่กลัว 
มาแทน การยึดติดกับความ perfect หรือมีข้ออ้างว่าไม่พร้อมทำไม่ได้หรอก

นิสัย มีความสุขได้ง่าย ๆ ในทุก ๆ วัน 
มาแทน การมีความสุขแบบมีเงื่อนไข

นิสัย กล้าที่จะส่งต่อของดีและยอมรับการถูกปฏิเสธ 
มาแทน การกลัวการขาย

นิสัย การคิดนอกกรอบคิดสร้างสรรค์ 
มาแทน ความไม่มั่นใจในการทำอะไรใหม่ ๆ

นิสัย การใช้พลังงานและเวลาไปกับบางสิ่งที่สำคัญจริง ๆ 
มาแทน การใช้พลังงานและเวลาไปกับทุกเรื่อง

นิสัย การเลือกรับเฉพาะความคิดและคำวิจารณ์จากบางคนที่มีผลลัพธ์ในชีวิตดี
ซึ่งช่วยเสริมพลังบวกให้กับเรา
มาแทน การรับทุกความคิดและคำวิจารณ์ของทุกคนรอบข้าง

นิสัย การมีวินัยในการจดบันทึกความสำเร็จและความดีในทุก ๆ วัน
มาแทน การใช้ชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกสำเร็จและรู้สึกดีจากสิ่งที่ทำ

Photo by Jake Young on Unsplash

1. บ้านของชั้น
หาแบบที่ชอบ หาช่างที่โอเค หาเงินกู้ที่ดอกเบี้ยต่ำ ลงมือทำบ้านตามแบบที่คิดให้มันเกิดขึ้น
ยังไม่ได้ไปอยู่เอง เปลี่ยนแผนเป็นซ่อมและให้คนเช่า 
ไม่ต้องเป็นหนี้เยอะและเอาค่าเช่านั้นมาจ่ายค่าซ่อมแทน

2. สุขภาพของชั้น
กินอาหารที่ดี ออกกำลังกาย ให้มีน้ำหนักที่ 60 kg
ลงทุนซื้อชาและแคปซูนสมุนไพรขับสารพิษ ร่างกายดีขึ้น
ออกกำลังกายยังทำไม่ได้ทุกสัปดาห์ แต่ก็ไม่ห่างหายนานเป็นเดือน
ผลลัพธ์น้ำหนักยังไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายในปีนี้ ปีหน้าทำได้แน่นอน
วิ่งมินิมาราธอน 3 รายการ
วิ่งฟันรัน 5 รายการ
วิ่นมินิมาราธอน 3 รายการ เป็นไปตามเป้าหมาย

3. พูดสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น
ฝึกทุกวัน ฟังสื่อหลากหลาย วันละชั่วโมง
ลงทุนเวลาและเงินเพื่อใช้ในการฝึกฝน
ฟังได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น สามารถพูดและเขียนอธิบายความคิดตนเองได้หลากหลายขึ้น

4. เพิ่มความชำนาญในสายอาชีพ
ศึกษาอัพเดทความรู้ใหม่ ๆ วันละชั่วโมง
ไม่มีวินัยทำได้ในปีนี้ 
แต่เปิดรับทุกงานซึ่งเป็นโอกาสให้ต้องพัฒนาตัวเอง
ผลลัพธ์ออกมาฟีดแบ็คค่อนข้างดี

5. โหลด Audio books/สิ่งดี ๆ ฟังในรถ
ทำได้จนติดเป็นนิสัย ไม่เฉพาะขับรถ 
ทุกวันช่วงเช้า อาบน้ำ ช่วงค่ำ ก่อนนอน

6. มีรายได้ทางออนไลน์/ช่องทางอื่น ๆ
โฆษณาในบล็อก, สร้างเพจ, ทำแบบสอบถามออนไลน์
มีเงินออมไปลงทุนเพิ่ม
ทำได้ดี มีวินัยการเงิน เปิดทุกช่องทางให้เงินเข้า

7. เดินทางเปิดประสบการณ์เที่ยวคนเดียว
สิงคโปร์ 1 trip
ปรับแผน เลื่อนไปก่อน
ภาคใต้ รถยนต์ 1 trip
ทำได้ ไปคนเดียวเที่ยวหลีเป๊ะ
ภาคใต้ รถไฟ backpack 1 trip
ปรับแผน เลื่อนไปก่อน

8. รักษาจิตใจ ร่างกาย
มีสติ รักษาศีล 5
รู้ทันลมหายใจ รู้ความคิด
ไม่ได้ทำแบบกำหนดเวลาเป็นเรื่องเป็นราว
ศีล 5 ทำเป็นอัตโนมัติ รู้สึกจิตใจอ่อนโยนขึ้น 
เมตตากับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
มีสติ รู้ทันความคิดและลมหายใจ ในบางขณะของทุกวัน
ช่วยให้เรามีวาจาและกายที่สำรวมมากยิ่งขึ้น

ปีนี้เป็นปีที่ดีมากในการเริ่มต้นลงทุนเวลาและเงินไปกับสิ่งสำคัญของชีวิต
และเริ่มมีผลลัพธ์กลับมา
ทำให้มีชีวิตที่มีความสุข ความสำเร็จ และความมั่งคั่งมากยิ่งขึ้น

< I'm doing better than I did before >
< Do it right now >




The power of doing it right now

Do it now though don't know how to do, If something is important, you will try to do anyway and have it.


Photo by Svyatoslav Romanov on Unsplash


On December, 2 last year. I decided to start doing new things and this blog "Do it right now" was made from this idea. Today I've written 27 articles and this one is 28nd. I'm very proud and happy because I've been writing almost a year. I can break through my fear by learning writing in the Thai and English language for sharing stories of good books, my thought, my feeling, my family, my experience, my 2018 goal to the social public. This experience helps me improve my thinking and writing skill. I believe that every story in my blog is useful for everyone who would like to succeed and feel happy for work and life because I tell you how to be a better person in many ways such as setting Goal, method of attractive law, positive thinking, respect yourself, time management, traveling alone, family love and successful entrepreneurs' mindset.

I've been slowly changed myself. Today I found that my heart change from fear to brave, my thought change from negative to positive, my emotion change from angry to peaceful, my seeing change from problems to opportunities, and my face change from arrogant to smile.

My right thinking and doing about for a year has built who I am today. Now I know what is my dream in work&life and how much I feel happy when I got it. I believe that my mind and the power of doing it right now will make my dream come true.

Thank you every book, every person, every course, every article which I learned and makes me a better person every day.

Thank you and Thank you!!
Happy and Happy!!


Photo by MI PHAM on Unsplash


Stay alone







After I got a bachelor's degree, I had to work and lived in another city.
That's the first time I stay alone. Sometimes, I felt lonely on the other hand I felt free.
I changed my job many times and also stayed alone. I found that this situation made me so strong because I tried to solve lots of problems by myself. I become to respect my thought and feeling.
If I want to do something, I can do it right now. I like to wake up late and stay on a bed longtime in the weekend. I love cooking, reading, dancing, singing and traveling. I don't have to ask for permission. I always have felt stable inside. My best friend is myself so I have to take care of my body and mind in the right way. Exercise pray and meditation can help that.
Thank you, everyone passed my life or still in my life.
Thank you, bad and good situations that treat me transform to be now.
I have been learning everything forever in my lifetime.
Love my family, my friends, my colleagues.





ในวันนี้

ในวันนี้เมื่อตื่นนอน ฉันยิ้ม ฉันรู้สึกตัว ฉันสบายใจ

always smile & feel happy

ลุกขึ้น จัดที่นอน ล้างหน้า ทายาฆ่าเชื้อสิว เสร็จแล้วแยกขาเท่าไหล่
ย่อเข่านิด เท้าจิกพื้นหน่อยๆ เริ่มแกว่งแขน 1..2..3..100..200..300..400..500
ไปอาบน้ำ แต่งตัว หาอาหารเช้าครบห้าหมู่กิน
ขับรถ ฟังเพลงชิลๆ self talk บ้าง เติมแป้งเติมปากเติมคิ้วนิดๆ ถึงที่ทำงาน 
กดน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว/ชาสมุนไพรจิบไปเรื่อยๆ เปิดคอม เช็คเมล ดูรายการงาน ทำงาน...
สิบโมงครึ่งพัก เดินไปเข้าห้องน้ำ รู้ตัวว่าเดิน ผ่อนคลาย หายใจเข้า หายใจออก ยิ้มอ่อน...
ทำงานต่อ...เที่ยง กินข้าว พูดคุย ฟังบ้าง รู้ทันความรู้สึกตัวเองบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง...
เที่ยงครึ่งกลับมาที่โต๊ะ อยากทำอะไรทำ อยากฝึกอะไรฝึก อยากรู้อะไรหาทางให้รู้...
บ่ายโมงซับหน้า ทาแป้ง เติมปาก ไปกดน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว/ชาสมุนไพรไว้จิบ เริ่มทำงานต่อ...
บ่ายสองโมงครึ่งพัก เดินไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกตัว รู้สึกสบาย...กลับมาทำงานต่อ
สี่โมงสิบห้าตรวจสอบงานวันนี้ ตัดสินใจพักไว้ก่อน วางแผนงานสำหรับวันพรุ่งนี้ต่อ...
ห้าโมงไปออกกำลังกาย ลีลาศ เดิน วิ่ง เต้น...กินข้าวเย็น กลับบ้าน
ถึงบ้านอาบน้ำ ทาครีม เขียนบันทึกประจำวัน รายจ่าย ความสำเร็จ ความดี...
มีเวลาสองถึงสามชั่วโมงพัฒนาตนเอง อยากดูอยากฟังอยากเขียนอยากฝึกอยากทำอยากพูด
อยากทำอะไร ลงมือทำ...
คิดถึงใครก็โทรหาเขาบ้าง ครอบครัว เพื่อน
ก่อนนอนสวดมนต์ ทำสมาธิ รู้สึกตัว ปล่อยวาง... 
ทุกวันของวันนี้ รู้สึกตัว รู้ลมหายใจ วางใจเมตตาต่อทุกชีวิต ไปไหนอยู่ที่ไหนก็สบายใจ
ไม่เบียดเบียนใคร สำรวมกาย สำรวมใจ สำรวมคำพูด
สร้างความสุขเล็กๆ เงียบๆเกิดขึ้นในใจ ให้ความรู้สงบ รู้สึกนิ่ง รู้สึกมั่นคงในทุกสถานการณ์
วางกาย วางใจ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
มั่งคงไว้ในกรรมดี ศีล สมาธิ ปัญญา...


Life is just breath in and out

 

The letter for you (myself 40 years old)

26 Aug 2018

I've ever heard someone saying "try writing a letter to yourself in the future and also read it after"
I think this method will help myself to review now my feeling, targets and predicting who I am in the future.
Today is 26 August 2018. I am 34 years old, it has just passed on my birthday on 6 August, I will try to write this letter to myself in the next 6 years

You (myself in the next 6 years)
You are 40 years old, What are you look like? I am excited.
A change can occur to everyone. That is true, I know I don't expect you, Whatever how you are because there are several factors and situations which we can't control. But, today I can do the best for you. Moreover, I use my life following the value that I chose. I have clear several targets in job, health, money, and life. You know? Do you succeed now? Have you paid the money back to them? (your family) Do you have enough passive income? Do you have a boyfriend?
Do you change your job? Do you have other new jobs or hobbies?
How many countries have you been to? How many places did you stay for work?
Are you an aunt? How many children does your sister have? Totally she's little boys?
How are my parents? Are they healthy? Have you been taking care of them?
Did you do for our society? How about your world? Have the high-speed trains constructions finished? Where do the trains pass? Have you ever traveled by them? Do old trains still work? How about Facebook in or out? What's instead of it? Do almost Thai people get better? Do they remain drama of other people? How about network 4G to 10G? How about the iPhone? What's the last pattern of iPhone? How about Samsung and Hauwai? What is the most famous brand of mobile phone now? How about big power countries or big companies in the world in business? Are they still Alibaba, Google, Tesla, Amazon? How about big companies in Thai? CP, PTT, SCC, CPN Is an electric car available for people? Is venerable father Pramote teaching? Do you always do meditation or praying? Does your mind improve? How about your health?Are you still fat? Do you have a lower height? Did you have a surgery? Any have problems? Do you achieve in money target? Don't be serious! If you're happy every period, it is well done. How about the close friends? Are they mary?  How are they? Have you contacted friends? How about your blog and page? Do they look like? Can you speak English fluently? Can you speak more languages? By the way, is your hand dermatitis better? Do you still have hormone acne on your face?
Whatever happened, good or bad things. I do believe in your decision.
You will pass every situation beautifully, keep positive energy in your life.
You will grow and be stronger from them.
Today, I'm going to do the best things with totally a power I have for you in the future.

Love all the time,
Paula


The letter


จดหมายถึงเธอ (ตัวเองตอน 40 ปี)

ฉันเคยได้ยินใครคนนึงบอกไว้ว่า "ลองเขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคตดูสิ แล้วเมื่อถึงวันนั้นค่อยเปิดอ่าน" โดยส่วนตัวคิดว่า การทำแบบนี้น่าจะเป็นวิธีนึงที่ช่วยให้เราได้ทบทวนตัวเอง ความรู้สึกต่อตัวเอง เป้าหมายในอนาคตและความคาดหวังว่าเราจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนแบบไหนกันแน่ ตามที่คาดหรือเกินคาด

วันนี้ 26 สิงหาคม 2561 ฉันอายุ 34 ปีแล้ว ครบบริบูรณ์เมื่อวันเกิด 6 สิงหาคมที่ผ่านมา
ตั้งใจว่าจะลองเขียนจดหมายถึงตัวเองในอีก 6 ปีข้างหน้าดู
เธอจะเป็นยังไงน้า...รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน
จริง ๆ แล้ว ความไม่แน่นอนของชีวิตเป็นสัจธรรมที่ทุกคนล้วนต้องเจอ ฉันไม่คาดหวังหรอกนะ
ว่าเธอจะเป็นยังไง เพราะมันเป็นเรื่องอนาคตที่คงมีอีกหลายปัจจัยและหลายเหตุการณ์ซึ่งเราควบคุมไม่ได้  แต่สิ่งที่ฉันทำได้ในวันนี้เพื่อเธอ คือ ใช้ชีวิตตามคุณค่าที่เลือกแล้วอย่างดีที่สุด ทั้งเรื่องงาน สุขภาพ การเงิน  การใช้ชีวิต เป้าหมายในวันนี้ชัดเจนแล้ว เธอทำมันได้มั้ย ปลอดหนี้จากครอบครัวยัง มีรายได้เสริม(passive income) หลายทางมั้ย มีแฟนรึเปล่า เปลี่ยนงานมั้ย มีอาชีพอื่น ๆ หรืองานอดิเรกอะไรทำบ้าง ได้ไปเที่ยวเมืองนอกกี่ประเทศแล้ว ย้ายที่พัก/ที่ทำงานกี่ที่แล้วล่ะ ได้เป็นป้ายัง น้องมีลูกกี่คนแล้ว
เด็กผู้ชายทั้งหมดรึเปล่า พ่อกับแม่เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย ได้ดูแลท่านบ้างรึเปล่า ทำอะไรเพื่อสังคมไปบ้างแล้ว รถไฟความเร็วสูงเสร็จยัง วิ่งไปไหนบ้าง ได้ลองนั่งดูยัง รถไฟเดิมยังใช้กันอยู่มั้ย เฟสบุคเอ้ายัง
คนไทยส่วนใหญ่ดีขึ้นบ้างเปล่า ยังคงดราม่าเรื่องคนอื่นอยู่มั้ย เน็ตกี่จีแล้วถึงสิบยัง ไอโฟนล่ะ ซัมซุง
หัวเหว่ยล่ะ มีเบรนด์ไหนมาแทนบ้าง ชาติมหาอำนาจยังเป็นกลุ่มเดิมมั้ย ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจล่ะ
ใช่อะลีบาบา อะเมซอน เทสลา กูเกิ้ล อยู่มั้ย ในไทยล่ะยังเป็น ซีพี ปตท. เอสซีจี เซ็นทรัลมั้ย
รถยนต์ไฟฟ้าใช้กันแพร่หลายยัง หลวงพ่อปราโมทย์ยังเทศอยู่มั้ย เธอยังนั่งสมาธิหรือสวดมนต์อยู่บ้างเปล่า จิตใจพัฒนาไปถึงไหนแล้ว แล้วสุขภาพล่ะ ยังน้ำหนักเกินอยู่อีกมั้ย เตี้ยลงมากเปล่า ผ่าตัดอะไรไปแล้วบ้าง เป็นอะไรมากมั้ย เก็บเงินสร้างห่านทองคำได้ยัง ไม่เป็นไรน้า ขอแค่ยังคงมีความสุขในทุก ๆ ช่วงของชีวิตก็ดีมากแล้ว แล้วเพื่อนสนิทเป็นไงกันบ้าง แต่งงานกันบ้างยัง ได้ติดต่อใครอยู่บ้าง ยังเขียนบล็อคทำเพจอยู่มั้ย พูดอังกฤษคล่องยัง พูดภาษาอะไรเพิ่มเติมได้อีกบ้าง อ่อ มือหายแพ้ยัง ยังมีสิวเม็ดเบ้งขึ้นหน้าอยู่มั้ย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องดีหรือร้าย ฉันก็เชื่อมันในทุกการตัดสินใจของเธอแหละ
ว่าจะผ่านไปได้อย่างสวยงาม รักษาพลังงานบวกในชีวิตไว้ได้ เติบโต แข็งแรงจากมันนะ
ฉันจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อเธอนะ

รักเสมอ
ปอ

พูดกับตัวเองแบบนี้สิ ส่งชีวิตให้ดี สุข สำเร็จ

การสื่อสารกับตัวเอง เพื่อให้คงไว้ซึ่งระดับพลังงานบวกเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ


เพราะ สมองคนเรามักไม่อยู่กับปัจจุบัน ฟุ้งไปอนาคต(ทำให้กังวล) นึกย้อนไปอดีต(ทำให้เสียดาย/เจ็บปวด) ดังนั้นการจะโฟกัสอยู่กับปัจจุบันและสร้างความรู้สึกสุขใจอิ่มใจให้กับตัวเอง จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ที่เราควรฝึกทำให้ได้ เพื่ออะไร...ก็เพื่อให้พลังงานดี ๆ คงอยู่กับตัวเราได้ตลอดทั้งวัน 
จากศาสตร์เรื่องกฎแรงดึงดูด เขาบอกว่า "ความสำเร็จ ความสุข ความมั่งคั่ง มันคือพลังงานบวก"
หากอยากดึงดูดมาสู่ตัวเรา ก็ต้องใช้พลังงานบวกเช่นเดียวกันไปดึงมา 
ดังนั้นการทำให้ตัวเองรู้สึกมีความสุขคงไว้ได้ตลอดทั้งวัน นั่นคือวิธีการใช้กฎแรงดึงดูด 
มันจะทำงานโดยดึงดูดพลังงานบวก สิ่งดี ๆ คนดี ๆ เข้ามาในชีวิตเราไงล่ะ

สมองเป็นอวัยวะที่สร้างความกลัวให้กับคนเราโดยธรรมชาติ เพื่อให้เราระวังภัยดำรงชีวิตให้อยู่รอด
ดังนั้นเราต้องขจัดความกลัว ความกังวัลซึ่งเป็นพลังงานลบ ๆ ออกไปซะ 
แล้วสร้างพลังงานบวกขึ้นมาแทนที่ โดยการใช้จิตใต้สำนึกช่วย 

ในทุก ๆ วันที่ลืมตาตื่น ยิ้มให้ตัวเองก่อนด้วยความรู้สึกขอบคุณโลกใบนี้ 
ขอบคุณร่างกาย ห้องนอน ที่นอน 
ที่ดูแลเราจนผ่านหนึ่งคืนไปด้วยดีแล้วตื่นขึ้นมาเพื่อได้ใช้ชีวิตในอีกหนึ่งวัน 
ลองใช้เวลาหลังแต่งตัวเสร็จก่อนไปทำงาน พูดกับตัวเองในกระจก 
หรือระหว่างเดินทางไปทำงานก็ได้ อาจจะพูดเปล่งเสียงหรือพูดในใจ สิ่งสำคัญคือรู้สึกตามที่พูดด้วย

ประโยคทรงพลัง พูดกับตัวเอง(จิตใต้สำนึก)ทุกวัน 

Cr. เพจ ครูอีฟ จักรวาลแห่งความสุข

" ฉันคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดมาบนโลกนี้ "

" ฉันทำได้ "

" ฉันเป็นคนคิดบวก "

" ฉันจะยิ้มให้กับตัวเอง และคนรอบข้าง "

" ฉันมีความสุข "

ด้านการเงิน

" ฉันมีสมองเงินล้าน " (ให้คุณค่าตัวเอง ให้คุณค่าสมองตัวเอง)

" ฉันมีหัวใจเศรษฐี " 
(เป็นผู้ให้และแบ่งปัน เพราะมีเหลือเฟือแล้ว จะไม่รู้สึกขาดแคลนเพราะมันคือหัวใจยาจก)

" ฉันทำเงินมากมายได้อย่างง่ายดาย "

" ฉันชื่นชมคนรวย " 
(เพราะจิตใต้สำนึกจะหาในสิ่งที่เราชอบ นี่จึงเป็นวิธีช่วยให้เราเป็นคนรวยแบบเขาได้)

" ฉันให้คนรวยและคนสำเร็จเป็นต้นแบบ "

" เงิน คือสิ่งสำคัญ "

" ขอบคุณเงินที่เข้ามาแล้ว "

" ขอบคุณเงินที่กำลังจะมา " (ช่วยลดความกังวล)

" ความสามารถในการทำเงินของฉัน เพิ่มขึ้นทุกวัน "

" พลังงานของฉัน ดึงดูดเงิน "

" ขอบคุณที่ฉันเป็นคนตัดสินใจได้อย่างดีเยี่ยม ในเรื่องการเงิน "

" ขอบคุณความร่ำรวยที่พุ่งมาหาฉันอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง "

" ขอบคุณช่องทางรายได้ใหม่ ๆ ที่เปิดประตูรับฉันตลอดเวลา "

" ขอบคุณที่ฉันยอมรับความคิดใหม่ ๆ ที่เป็นโอกาสเพิ่มพูนรายได้ "

" ขอบคุณที่ฉันดึงดูดเงินและโอกาส ที่เข้ามาสู่ชีวิตฉันตลอดเวลา "

" ขอบคุณที่ฉันมีคุณค่าพอที่จะเป็น คนมั่งคั่งร่ำรวย "

ลองทำดูค่ะ พูดทุกวันสื่อสารกับตัวเอง จนสมองมันอิน ใจมันรู้สึกจริง ๆ 

ความสุข ความสำเร็จ ความมั่งคั่ง มาแน่ 

แค่พูดไป รู้สึกไปในทุก ๆ วันก็มีความสุขมากแล้ว 

รักษาพลังงานบวกไว้ได้ เดี๋ยวพลังงานบวกจากจักรวาลก็จัดส่งมาให้ค่ะ

มาแบบง่าย ๆ ด้วย เพราะใจมันชิล มันไม่กังวล มันเชื่อว่าได้แน่ ๆ 


Key to Success


ปิดท้ายด้วยอีก 2 ประโยคค่ะ 

อันนี้ชอบส่วนตัว ลองใช้แล้วมันได้ผลจริง

ลดความกังวัลได้ทันทีและรู้สึกถึงความสุขความสำเร็จได้ทันทีหลังจากพูด

" ฉันเห็นโลกอนาคตของฉัน ในแง่ดีเสมอ "

" ฉันอยากรู้อะไรที่จำเป็นต้องรู้ ฉันได้รู้ "




เมื่องานวนลูป สร้างความเบื่อและความเครียด


ตำแหน่งงาน (ที่กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้มี...)


Loop, How to exit?

















1. ทำไมต้องมีตำแหน่งนี้ ทำไมต้องใช้กฎหมายบังคับ

เพราะนายจ้างไม่คิดจะทำ หรือเห็นความสำคัญว่าต้องทำเรื่องนี้ควบคู่กับการขายสินค้า/บริการ
หากเราเห็นว่าสิ่งไหนสำคัญ/มีประโยชน์ เราจะทำสิ่งนั้นทันทีไม่ต้องให้ใครมาสั่ง ไม่ต้องรอกฎหมายบังคับ
และถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง หากตัดสินใจว่าจะทำ/แก้ไขปัญหาแล้ว สุดท้ายเราก็จะพยายามหาทางจนเจอ หาวิธี หาคน มาทำจนได้... 

ปัญหาแท้จริง คือ คนที่ต้องทำ ไม่คิดจะทำ ไม่มีใจ(ที่คิดจะทำ)
ปัญหาปลายทาง คือ ไม่มีคนมาลงมือทำ ไม่มีความรู้ ไม่มีวิธีการ ไม่มีงบประมาณ ไม่มีเวลา...

2. ทำไมมีกฎหมายออกมาบังคับใช้แล้วมากมาย แต่ดูเหมือนว่าไม่ช่วยอะไร หากมองจากมุมผลลัพธ์ 

กฎหมาย
ออกมาบังคับใช้ในภาพรวม เป็นขั้นพื้นฐานที่ต้องจัดให้มี และหวังว่าหากทำตามแล้วจะหวังผลลัพธ์ที่ดีได้  แต่เอาจริง ๆ ถ้าใครทำตามกฎหมายได้หมด 100% เลย เป๊ะมาก ผลลัพธ์ที่ได้ ดีจริงมั้ย
เพราะสภาพงานจริง ไม่เหมือนกัน มีหลายเหตุหลายปัจจัยเกี่ยวข้องมาก แต่ละที่ไม่เหมือนกันเลย
คงคาดหวังไม่ได้หรอก ว่าแค่ทำตามกฎหมายแล้วจะดี อาจมีทำเพิ่มเติมบ้างในบางสิ่งบางรายละเอียดที่กฎหมายไม่ได้มีกำหนดไว้ 
แต่ก็น่าแปลกที่บางแห่ง ทำสิ่งที่กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ต้องทำคือ กฎหมายนั้น บอกว่าทำได้ยาก เป็นไปไม่ได้ตามหน้างาน...ก็เข้าใจได้เป็นบางเรื่องบางกรณีไป
แต่ถ้าทำตามกฎหมายไม่ได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว มักพบว่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น...
ส่วนเนื้อหากฎหมายนั้น ยอมรับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทาง บ้างให้ความชัดเจน บ้างให้ความสงสัย ไม่รู้จะต้องทำตามกันยังไง ออกฉบับแม่สั่งมาแล้วว่าต้องทำโน่น นี่ นั่น อ้าวแล้วมาตรฐานวิธีการ บุคคลที่จะทำล่ะ ไม่บอกมาด้วย นู่น...อีก 2-5 ปี ถึงออกตามมา บางเรื่องก็ยังไม่เห็นวี่แวว...
อย่าว่าแต่คนที่ต้องทำตามเลยที่งง  คนที่ต้องบังคับใช้กฎหมายเองก็งงไม่แพ้กัน อย่าคาดหวังว่าจะเข้าใจ100%  และการบังคับใช้กฎหมายในไทยก็เหมือนกับ เส้นใยของแมงมุม ที่จับได้เฉพาะแมลงตัวเล็ก เพราะตอนนี้แมลงตัวใหญ่...แมงมุมกลัว ก็มันมีกรรไกรตัดเส้นใยแมงมุมทำให้ไม่มีที่อยู่ด้วยซ้ำไป

ความพร้อมของสิ่งสนับสนุน
บุคคล/นิติบุคคลที่มีความรู้ อุปกรณ์สิ่งของเครื่องมือที่มีมาตรฐาน
มีน้อย ราคาแพง เป็นสิ่งหายาก บางอย่างกฎหมายกำหนดควบคุมมาตรฐานหวังไว้ว่าจะดี
แต่ก็นั่นแหละ โลกแห่งความจริงใบสีเทาๆ นี้ ผลประโยชน์/ความถูกต้องบางครั้งก็เป็นเส้นบาง ๆ

3. ทำไมคนในวงการอยากออก คนนอกอยากเข้า หรือคนในอยากอยู่ไปนาน ๆ 

เพราะงานที่ทำมันเกี่ยวกับทุกคน ทำคนเดียวไม่ได้ ทำแล้วไม่จบ เมื่อปัจจัยที่เกี่ยวข้องเปลี่ยน...
ผู้บริหาร เศรษฐกิจ เครื่องจักรอุปกรณ์ คนทำงาน กฎหมาย... ระบบงานก็ต้องเปลี่ยนด้วย
จึงเป็นเหมือนงานวนลูป ทำไม่จบ เหมือนจะดีแล้ว อ้าว...กลับไปเริ่มจุด start ใหม่ set 0 อีกครั้ง
เหนื่อย...
จริง ๆ คำว่า วิชาชีพ โดยความเข้าใจทั่วไปมันหมายความว่า ไม่ใช่ใครก็ทำได้ 
ต้องผ่านกระบวนการผลิต วัดคุณภาพว่าได้ตามมาตรฐานมั้ย นอกจากนี้ก็จะมี
คำว่า จรรยาบรรณ เพิ่มเข้ามาด้วย หากเราจะปลูกฝังให้เกิดขึ้นในคน ๆ นึง ต้องใช้เวลาเท่าไหร่...
คงไม่ใช่ 3 วัน 7 วัน 1 เดือน แน่ ๆ ยังไม่ซาบซึ้งหรอก...
แต่ทุกอย่างก็มีข้อยกเว้นเหมือนกัน เวลาเปลี่ยน สภาพแวดล้อมเปลี่ยน อาจมีผลทำให้
ทัศนคติ/จรรยาบรรณ ของคนเปลี่ยนได้เช่นกัน จรรยาบรรณสร้างขึ้นได้ก็ย่อมถูกทำลายได้เช่นกัน

ดังนั้นปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครบ้าง เหมาะสมหรือควรจะทำงานนี้
สิ่งที่น่าคิดและน่าทำกว่า คือ 
1. เราจะทำอย่างไร ให้คนที่ต้องทำ มีใจคิดจะทำ
2. เราจะพัฒนาคนทำงาน ให้ได้มาตรฐานตามวิชาชีพและคงไว้ซึ่งจรรยาบรรณได้อย่างไร
3. เราจะมีกฎหมายที่ใช้การได้จริง ทำตามแล้วมีประโยชน์ เกิดผลลัพธ์ดีจริง ๆ ได้อย่างไร
4. เราจะพัฒนาและยกระดับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและเครือข่ายเชิงวิชาการ เทคโนโลยี
    ให้สามารถเข้าถึงได้ มีหลากหลาย ราคาไม่แพง ผลิตเองมีมาตรฐานใช้การได้
    ไม่ต้องรอสั่งอุปกรณ์เครื่องมือแพง ๆ จากเมืองนอกได้อย่างไร
5. เราจะพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ให้มีความสามารถทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
    และสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ นำไปใช้ได้จริง ได้อย่างไร
6. เราจะสร้างระบบเครือข่ายของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมี
   ประสิทธิภาพ โดยไม่มีเส้นแบ่งของคำว่า ที่มา สถานะ ผลประโยชน์ ได้อย่างไร 

ถ้าตอบคำถาม 6 ข้อนี้ได้และนำไปใช้ได้จริง งานนี้จะไม่ วนลูป อีกต่อไป
อย่าคาดหวัง อย่ารอให้ใครมาตอบ เราสามารถคิดและตอบคำถามเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง
หากเราเกี่ยวข้องในข้อไหน เราปรับวิธีคิด ปรับวิธีการทำงานของตัวเราเองก่อน 
อย่าฝากความหวังไว้ที่คนอื่น...รับผิดชอบชีวิตตัวเอง 100% ดีกว่า 


 




คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย

Cr. รวิศ หาญอุตสาหะ

คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย

- เหมาะกับมนุษย์เดินดินที่มีความฝัน แต่ชอบคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม
- คู่มือพลิกมุมมองและใช้ความคิดสร้างสรรค์
  สำหรับคนที่อยากมองให้เห็นโอกาสและกล้าทำในเรื่องที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้

หนังสือเล่มนี้ให้หลักฐานบุคคลตัวเป็น ๆ ทั่วโลกในหลายยุคสมัย
ที่สังคมมองพวกเขาว่า "ด้อยกว่า" คนธรรมดาทั่วไป
แต่แล้วพวกเขากลับมีความคิดฝันที่ใหญ่ ลงมือทำจริงจนประสบความสำเร็จ
เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นนักธุรกิจ เป็นผู้มีความมั่งคั่งอยู่ในแวดวงต่าง ๆ ของโลก

อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจ เฮ้ยยย...จริงๆ
ขอแค่ให้ชัดเจนว่า ชีวิตนี้เราต้องการอะไร
แล้วลงมือทำวันละนิด วันละนิด ด้วยความรัก แต่ยังคงชัดเจนในเป้าหมาย
แล้ววันนึงเราจะไปถึงดวงจันทร์...

ไปดูตัวอย่างกันดีกว่า 👌

Malala Yousafzai 

เด็กสาวปากีสถาน ผู้รณรงค์เพื่อสิทธิด้านการศึกษาเด็กและสตรี
เธอรอดชีวิตจากกระสุนที่วิ่งทะลุผ่านเข้ากะโหลกโดยมือปืนกลุ่มตาลีบัน
เธอได้ขึ้นปราศรัยที่ UN ต่อหน้าคณะตัวแทนกว่า 500 คนจากทั่วโลก
มีใจความตอนนึงที่กินใจว่า...

"เธอไม่ได้ยืนหยัดเพื่อต่อต้านใคร/กลุ่มก่อการร้ายใด ๆ เลย
แต่เธอยืนหยัดอยู่เพื่อทวงถามสิทธิอันชอบธรรมในการศึกษา
ให้กับเด็กทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ลูกหลานของกลุ่มตาลีบัน"

รู้สึกมั้ย... หัวใจที่ยิ่งใหญ่ในร่างเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ


Jamie Oliver

เด็กน้อยที่เอสเซ็กซ์ ประเทศอังกฤษ ผู้มีความบกพร่องในการอ่าน(โรคดิสเล็กเซีย)
แต่สนุกกับการทำอาหารและทำสิ่งนี้อย่างหลงใหล จนกลายเป็นเชฟที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
(นิตยสาร Forbes มีทรัพย์สินเกินหนึ่งหมื่นล้านบาท) เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารมากกว่า 50 แห่ง
เจ้าของตำราอาหารที่ขายดีติดอันดับกว่า 20 เล่ม แต่เพราะโรคดิสเล็กเซีย ทำให้เขาเพิ่งอ่าน
หนังสือเล่มแรกจบเมื่ออายุ 38 นี่เอง หนังสือเล่มนั้นคือ นิยายเรื่อง Hunger Games:Catching Fire
เขาบอกว่า...

"ปัญหาไม่ได้มาจากอุปสรรค แต่ปัญหาเกิดมาจากข้ออ้างในการดำเนินชีวิตมากกว่า
เพราะทุกคนเจอเหมือนกันหมด"


Michael Phelps

เด็กผู้ชายที่แมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา ผู้เป็นโรคสมาธิสั้น พูดไม่หยุด เคลื่อนไหวตลอดเวลา
จนครูประจำชั้นเอือมระอา แม่ของเขาจึงพยายามหากิจกรรมให้ลูกได้ปลดปล่อยพลังงานออกมา
จนพบว่าการว่ายน้ำทำให้เขารู้สึกสงบและมีความสุข เขาอยู่ในสระปีละ 365 วัน
จนติดทีมชาติและเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเจ้าของเหรียญโอลิมปิก 22 เหรียญ (18 เหรียญทอง)
เป็นเจ้าของสถิติโลกถึง 39 รายการ
เขาบอกว่า...

"ถ้าคุณต้องการเป็นที่หนึ่ง คุณต้องทำสิ่งที่คนอื่นไม่ยอมทำ"
นั่นคือเหตุผลที่เขาซ้อมว่ายน้ำทุกวัน ทั้ง ๆ ที่นักว่ายน้ำคนอื่นจะหยุดซ้อมในวันอาทิตย์
ทำให้เขามีเวลาซ้อมมากกว่าคนอื่นถึงปีละ 52 วัน


Leonardo Del Vecchio

เด็กชายวัย 7 ขวบที่โตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
ผู้ยากจนแต่มีวิสัยทัศน์ดีเยี่ยม มองเห็นตลาดของแว่นตา จึงผลิตแว่นตาคุณภาพสูง
จนเปิดบริษัทเป็นเจ้าของแบรนด์แว่นตาชั้นนำอย่าง
Ray-Ban, Oakley, Vogue รับจ้างผลิตให้กับ Armani, DKNY, Chanel, Versace, Ralph Lauren,
Tiffany, Ferragamo เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของอิตาลี มีสินทรัพย์กว่า 6 แสนล้านบาท
จากบ้านเด็กกำพร้าวันนั้น...เขาเดินทางมาไกลจริง ๆ


Ralph Lauren

เด็กหนุ่มในมหานครนิวยอร์ก ที่ต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันเพราะครอบครัวมีปัญหาเรื่องเงิน
แต่เขาเป็นคนมีรสนิยมดี ไปทำงานเป็นพนักงานขายเสื้อเก็บประสบการณ์ เก็บเงินจนเปิดบริษัท
ผลิตเน็กไทที่ออกแบบเอง ขยายกิจการมาสู่ เสื้อผ้าผู้ชาย เสื้อผ้าผู้หญิง
เขาเป็นคนออกแบบเสื้อยืดคอปกแขนสั้นและปักรูปม้าอยู่ที่หน้าอกซ้าย (ที่เรารู้จักกัน "เสื้อโปโล")
มีคนถามเขาว่าเคล็ดลับความสำเร็จคืออะไร เขายิ้มแล้วตอบว่า
"ผมไม่ได้ออกแบบเสื้อผ้า แต่ออกแบบความฝัน"


Walt Disney

เด็กหนุ่มในแคนซัสซิตี้ที่ถูกเจ้านายไล่ออกจากงานด้วยว่า ไม่เคยมีไอเดียดี ๆ เลย
จึงตั้งบริษัททำธุรกิจการ์ตูนเล็ก ๆ กับน้องชาย สุดท้ายเจ๊ง...
ลุกขึ้นสู้ รวบรวมเงินกลับมาใหม่ ทำธุรกิจเดิมจนดังอยู่ในเมืองแคนซัสซิตี้
พอจะขยายไปต่างเมือง ก็ล้มละลายจนถึงกับต้องพึ่งอาหารสุนัขประทังชีวิต
จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ฮอลลีวูด เป็นนักวาดการ์ตูน รวมเงินได้ใหม่
เรียกน้องชายมาร่วมกันเปิดบริษัทอีกครั้ง เหมือนจะไปได้สวย
แต่แล้วก็เสียตัวการ์ตูน และลูกน้องถูกซื้อตัวไป เขาจึงสร้างตัวการ์ตูนใหม่
ที่ใส่บุคลิกและเสียงของตัวเองลงไปในสัตว์เลี้ยงที่เป็นหนู (เขานึกถึงสมัยที่อยู่แคนซัสซิตี้)
มันคือ "Mickey Mouse" ตัวการ์ตูนที่โด่งดังไปทั่วโลก
เมื่อมีคนถามว่าเขาผ่านอุปสรรคมาได้อย่างไร เขาตอบพร้อมรอยยิ้มว่า...

"เมื่อเราเจอเรื่องเลวร้าย บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเราก็ได้
แค่ตอนนั้นเรายังไม่รู้เท่านั้นเอง"

ธุรกิจ airbnb.com

มาจากชายอายุ 27 ปี สองคนในเมืองซานฟรานซิสโกที่ไม่มีตังค์จ่ายค่าเช่าห้องพัก
จนเกิดไอเดียแบ่งห้องนั่งเล่นที่มีเตียงเป่าลม(air beds) 3 เตียง ให้คนอื่นเช่า
พร้อมทำอาหารเช้าให้ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า
ในวันนั้นพวกเขาจึงจดทะเบียนเว็บไซต์ www.airbedandbreakfast.com
เขียนโมเดลธุรกิจ หาเงินลงทุนขยายกิจการ ปรับปรุงเว็บไซต์
พวกเขาเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจจากการให้ลูกค้าจ่ายเงินกับผู้เช่าโดยตรง
เป็นการบริหารการจ่ายเงินทั้งหมดและเก็บค่าคอมมิสชั่น 15%
(จากเจ้าของบ้าน 3% และผู้เช่า 12%) และเนื่องจากชื่อเว็บไซต์ยาวไปหน่อย
พวกเขาจึงย่อเหลือแค่ airbnb.com


ยังมีตัวอย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจต่าง ๆ อีกมากมายในหนังสือเล่มนี้
และผู้เขียนให้ "วิธีรักษาพลังใจ" ให้อยู่นานและเกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละวัน
ลองหามาอ่านและทำดูค่ะ เชื่อว่าชีวิตจะดีงาม...

สิ่งที่น่าสนใจอีกคือ ผู้เขียนแนะนำ "การเตรียมตัวไปดวงจันทร์" และ "ทางลัดไปดวงจันทร์"
ไว้ให้ด้วย พร้อมยกตัวอย่างประสบการณ์จริง ๆ จากผู้เขียนเองหรือบุคคลอื่น ๆ
เล่าได้อย่างน่าติดตาม มีข้อความให้เราได้ฉุกคิดเป็นช่วง ๆ ด้วย เช่น

"ถ้ารอพร้อม 100% ชาตินี้ไม่ต้องทำอะไร"

"โมเดลธุรกิจมีมากมาย แต่น้อยคนที่จะกล้า จะลงมือทำ จริง ๆ จัง ๆ"

"ตลาดมีอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่มองเห็น"

"พวกคุณขบขันในความต่างของผม
  ผมขบขันในความเหมือนของพวกคุณ" Jonathan Davis

"ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต ก็ต้องเลิกสนใจคนอื่น
  และมั่นใจในตนเองซะบ้าง" Mark Twain

สุดท้าย

"ความกลัวไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นผลิตผลของความคิดที่คุณสร้างขึ้นมา
  อย่าเข้าใจผมผิดไป อันตรายน่ะมีอยู่จริง 
  แต่ความกลัวเป็นเพียงตัวเลือกเท่านั้น" Will Smith




เพราะตรงสี ถึงมีหมื่นล้าน

Cr. คุณแพ้ท ภาววิทย์ กลิ่นประทุม และ ดร. ต้อง พงษ์รพี บูรณสมภพ
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึง "ศาสตร์เรื่องของสี" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการค้นหาตัวเอง
และเลือกสิ่งที่รักให้เจอ เมื่อเจอตัวเองแล้วย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น

การแบ่งคนของ Birkman















การแบ่งคนของ Birkman

เป็นเครื่องมือที่องค์กรชั้นนำของโลก ใช้ค้นหาคนเพื่อวางให้เหมาะกับสีและตรงกับงานที่เขาจะทำได้ดี
และมีความสุข เพราะงาน คือ การอธิบายตัวตน ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นบังคับให้ทำ
แต่สิ่งที่ยากที่สุด คือ การที่เราจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรารัก

การแบ่งคนของ Rich Dad, Poor Dad
โรเบิร์ต คิโยซากิ ตาม Cash flow 


1. ลูกจ้าง (Employee)
คนที่ "ขายเวลาแลกเงิน" รวยยากเพราะเวลามีจำกัด ถ้าไม่เคยวางแผนหยุดทำงานแล้วมีเงิน
มักซวยตอนเกษียณ ลูกจ้างที่เข้าใจความจริงเรื่องของงานในชีวิตจริง มักจะผันตัวไปเป็น นักลงทุน

2. คนที่ทำงานอิสระ (Self-Employed)
พวกหา/รับงานเอง Freelance, Part-time มักจะพูดว่าทำงานเป็นมืออาชีพ "ขายผลงานแลกเงิน"
แต่จริง ๆ แล้วก็ขายเวลาแลกเงินเหมือนกัน แถมยังหยุดทำงานไม่ได้ เพราะเงินจะหายไปด้วย
อาจจะซวยได้ แต่คนกลุ่มนี้จะปรับตัวกับโลกของงานได้ดีกว่าลูกจ้าง
คนที่เข้าใจความจริงเรื่องของงานในชีวิตจริง จะหาลูกมือและพัฒนาให้ทำงานแทนตัวเอง
แล้วผันตัวเองไปเป็น เจ้าของธุรกิจ

3. เจ้าของธุรกิจ (Business Owner)
คนที่ "สร้างธุรกิจมาทำงานแทนตัวเอง" ในไทยส่วนใหญ่เป็น self - employed เพราะใช้ตัวเองทำงาน
แต่ business owner คือ พัฒนาคนอื่นให้มาทำงานแทน แปลว่าเขาต้อง "เก่งคน" ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้

4. นักลงทุน (Investor)
คนที่ "เอาเงินตัวเองมาวางให้ทำงาน" จนสุดท้ายเงินนี้สามารถทำงานเลี้ยงเราได้
นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นเทรดเดอร์ คือ เล่นหุ้นเร็ว ซื้อมาขายไป ไม่ใช่นักลงทุน แต่เป็นนักเก็งกำไร
(ก็ยังใช้เวลาตัวเองมาทำงานแลกเงิน แค่เปลี่ยนจากทำงานที่ office มาที่ตลาดหุ้นแทน)
นักลงทุน คือ คนที่เอาเงินไปวางให้ทำงานแล้วไม่ต้องยุ่งกับมัน เช่น ออมในหุ้น คือซื้อหุ้นดีในเวลาที่
ราคาถูก (ช่วงวิกฤติ) จากนั้นถือไม่ขายเลยชั่วชีวิต ก็จะรวยจากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้ทุกปี
เมื่อบริษัทโตขึ้นเงินปันผลก็จะมากขึ้น

ถ้างั้นหากเราพัฒนาตัวเองให้เป็น "เจ้าของธุรกิจ" กับ "นักลงทุน" ก็จบจริงมั้ย
แต่...มันไม่ง่าย และไม่ใช่จะเหมาะกับทุกคน

หลักของ Birkman

แบ่งคนเป็น 4 สี คือ เขียว เหลือง แดง น้ำเงิน

คนสีเขียว

ลักษณะ
คนที่เน้น "ความสัมพันธ์" เป็นศูนย์กลางของเพื่อน นักขาย นักสร้างแรงบันดาลใจ
มีเสน่ห์ พูดเก่ง แต่งตัวดี ขายเก่งเพราะขายตัวเองให้คนอื่นชอบยังทำได้เลย

เจ้านายสีเขียว
ชอบสอนและรับฟังลูกน้องตลอดเวลา เลือกทำงานที่ชอบต้องอิน ต้องมัน เป็นคนยืดหยุ่น
ชอบลูกน้องขาลุย พูดแล้วทำทันทีไม่คิดเยอะ ชอบโปรเจ็กต์ที่เห็นผลไว ๆ ชอบคนขายของเก่ง

เงิน
เงินคือสิ่งที่ทำให้ตัวเขาและเพื่อนรู้สึกดี Money = Attraction ใช้เงินเพื่อสร้างเสน่ห์
ซื้อของดูดีแพงจ่ายไม่อั้น สปอร์ตชอบเลี้ยงเพื่อน เพราะมองว่ามัดใจคน
หาเงินเก่ง และก็ใช้โคตรเก่ง

ลูกค้าสีเขียว
ซื้อของเพราะคนขาย จะซื้ออะไรต้องชอบคนขายก่อน ไม่สนราคา
คุณจะขายของคนสีเขียว คุณจะต้องตีสนิทกับเขา รู้ว่าเขาชอบอะไรจะซื้ออะไร
เอาแฟชั่นและเทรนด์ล่าสุดมาให้ พร้อมคุยเรื่องที่เขาชอบ

งาน
นักพูด นักขาย นักการตลาด เรียนรู้จากการมีเวที ได้แสดงความคิดเห็น และฟังความคิดเห็น

แฟน
มนุษย์สังคมสุด ๆ แต่ลึก ๆ เป็นคนชอบมีโลกส่วนตัวและหวงเวลาของตัวเอง
ใจน้อย คิดเล็กคิดน้อย
มักเลือกแฟนเป็นคนสีตรงข้าม คือคนสีเหลือง(ซึ่งใช้เหตุผลนำความรู้สึก)
ทำให้น้อยใจตายเลย อีกคนต้องการความรู้สึก อีกคนพูดแต่เหตุผล

จุดอ่อน
ฟังคนอื่นน้อยเกินไป

พลังของคนสีเขียว
คือ Social energy ชอบงานที่ได้หน้า หว่านเสน่ห์ งานขาย คุยกับคน
ทำงานเป็นทีมได้แต่ตัวเองต้องเท่นะ เป็นคนนำเทรนด์

ตัวอย่างคนสีเขียว
การ์ตูน คือ Super hero ทั้งหลาย
วู้ดดี้, โน้ส อุดม, บอย วิสูตร, Oprah Winfrey, Barack Obama


คนสีเหลือง

ลักษณะ
คนที่เน้น "ความเป็นระเบียบ" นักจัดการ คำว่า "เป๊ะ" ยังน้อยเกินไปสำหรับคนกลุ่มนี้
เวลาคุยจะลงรายละเอียด ลงถึงวิธีปฏิบัติ (บางครั้งยังไม่คุยภาพใหญ่ให้รู้เรื่องเลย)

เจ้านายสีเหลือง
ทำงานกับเขาข้อมูลต้องแน่น มีขั้นตอน ระบบแบบละเอียด ดูสิ่งที่ลูกน้องเตรียมมามากกว่าสิ่งที่เขาพูด
ชอบลูกน้องที่ทำตามแผน ห้ามออกนอกแผน เขาจะมองว่าคุณไม่มีวินัย ไม่เก่ง

เงิน
เงินคือภาระ Money = Manage เห็นเงินวางเฉยไม่ได้ ต้องจัดสรรแบ่งเป็นส่วน ๆ วางแผนแบบเป๊ะ ๆ
ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงิน เพราะจัดสรรเงินเก่ง แต่ก็ปิดโอกาสตัวเองในส่วนของโอกาสการหาเงินด้วย

ลูกค้าสีเหลือง
ตัดสินใจซื้อของจากข้อมูลที่ครบถ้วน น่าเชื่อถือ มีแหล่งข้อมูลชัดเจน
คุณจะขายของคนสีเหลือง คุณต้องเตรียมข้อมูลมาแน่น ใส่ใจรายละเอียด โชว์ให้เห็นว่าเป็นมืออาชีพ
เก่งจริง(ยิ่งถ้าจบมหาลัยดัง/มีใบประกาศ)เขาจะยิ่งชอบคุณ อย่าเน้นขายเพราะเขาตัดสินใจซื้อจากข้อมูล

งาน
นักจัดการมืออาชีพ เรียนรู้จากการนั่งโต๊ะ (วางแผน)

แฟน 
มนุษย์เป๊ะ มีระเบียบ คิดวางแผนและต้องเป็นไปตามแผน
ใช้เหตุผลกับความสัมพันธ์ ไม่ใช้ความรู้สึก/ความเห็นใจคุย
มักเลือกแฟนเป็นคนสีตรงข้าม คือคนสีเขียว (ไม่มีระเบียบวินัย) เลยมักจะหงุดหงิดแฟน

จุดอ่อน
เคร่งเกิน

พลังของคนสีเหลือง
คือ Will energy ชอบงานที่มีหลักการ มีจุดยืน ใช้เหตุผล
มีความละเอียดรอบคอบ ทำงานซ้ำ ๆ ได้ไม่เบื่อ

ตัวอย่างคนสีเหลือง
การ์ตูน คือ โคนัน
ตูน บอดี้แสลม, แอ๊ด คาราบาว, อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี
Jack Ma, Tadashi Yanai (เจ้าของ Uniqlo)


คนสีแดง

ลักษณะ
คนที่เน้น "การลงมือทำ" ตัดสินใจรวดเร็ว ชอบเรียนรู้จากการปฏิบัติ
คุยตรงประเด็น อย่าอ้อม อย่ามั่ว เพราะเวลาของเขามีค่ามาก

เจ้านายสีแดง
คิดและทำเองเร็วมาก จะล้วงลูกคุณทุกอย่าง ถ้าเขาทำแทนคุณได้เขาจะทำ
ชอบลูกน้องที่ชัดเจน ตรงประเด็น ทำอะไรให้เร็ว อยากเห็นผลงานทันที (ข้อมูลไม่สำคัญ)
ลุยเลย ผิดเป็นครู อนุญาตให้ผิดได้ครั้งเดียว ถ้าครั้งที่สองเขาจะมองว่าคุณไม่ใส่ใจ ไม่เรียนรู้

เงิน
เงินคืออำนาจต่อรอง Money = Power ขี้งก เหนียวมาก ก่อนจ่ายคิดเยอะว่าต้องคุ้ม
เพราะเงินที่ลดลงคืออำนาจต่อรองในชีวิตที่ลดลง แค่มีเงินได้เห็นตัวเลขในบัญชีก็มีความสุขแล้ว
บางครั้งเชื่อคนง่ายโดนหลอกให้เสียเงิน เพราะอยากรวยจนลืมความรอบคอบ

ลูกค้าสีแดง
ถ้าจะซื้อของเขาซื้อเลย อย่ารอวันรุ่งขึ้นไม่ซื้อแน่ จะขายของคนสีแดงต้องบอกให้ชัดว่า
ข้อดีข้อเสียคืออะไร อย่าโม้เขาจะมองว่าคุณไม่จริงใจ บอกโปรโมชั่นวันนี้จะแถมอะไรให้ไปเลย
เพราะคนสีแดงถ้าต้องการคือต้องการทันที

งาน
นักลงมือทำ สร้างสินค้า/บริการ ผู้ประกอบกิจการ

แฟน
ไม่คิดมาก พูดอะไรตรง ๆ ไม่แคร์ความรู้สึกคนฟัง บางครั้งพูดไปไม่คิดอะไร เน้นที่การกระทำ
มักเลือกแฟนเป็นคนสีตรงข้าม คือคนสีน้ำเงิน เพราะคิดว่าเขายอม แต่จริง ๆ แล้ว สีน้ำเงินคือดื้อเงียบ

จุดอ่อน
กดดันเพราะใจร้อนเกิน

พลังของคนสีแดง
คือ Physical energy ชอบงานที่ลงมือทำจริง คิดเร็วทำเร็ว ชอบสิ่งใหม่เห็นผลไว

ตัวอย่างคนสีแดง
การ์ตูน คือ Dragon ball (แนวล้างผลาญ สาระอย่าไปคิด)
ตัน อิชิตัน, ต๊อบ เถ้าแก่น้อย, Steve Job, Donald J. Trump

คนสีน้ำเงิน

ลักษณะ
คนที่เน้น "การคิด" ไอเดียบรรเจิด แต่ไม่มีรายละเอียดการปฏิบัติเลย
ชอบคุยภาพใหญ่ มักจะพูดว่า ลองคิดตามดูนะ

เจ้านายสีน้ำเงิน
ต้องคุยภาพใหญ่ให้ชัด ทำแล้วสุดท้ายเป็นยังไง ชอบไอเดียแปลกใหม่ ล้ำ ๆ
ชอบลูกน้องที่มีไอเดียใหม่ ๆ มานำเสนอ บอกตอนจบว่าได้อะไร อย่าพึ่งลงรายละเอียด

เงิน
ไม่แคร์เงินแต่มองว่าเงินเอาไปเปลี่ยนเป็น "คุณค่า" อะไรได้บ้าง Money = Value
มักเป็นนักสะสม ซื้อของใหญ่ ๆ ราคาสูง ๆ น้อยชิ้นแต่แพง

ลูกค้าสีน้ำเงิน
เป็นคนรู้จริง รู้กว้าง คุยภาพใหญ่ ถ้าคุณจะขายของเขา ต้องนำเสนอให้เขาคิดตาม อย่าลงรายละเอียด
เช่น ขายรถไม่ใช่แค่เข้าใจรถ แต่ต้องเข้าใจอุตสาหกรรมรถ รถในอนาคตเป็นยังไง

งาน
นักคิด นักการทูต เรียนรู้จากการคิดให้ตกผลึกก่อน แล้วค่อยทำ (ชอบอ่าน)

แฟน
มนุษย์ลึก คิดเยอะเกิน เก็บตัวไม่เข้าสังคม ชอบมีเวลาส่วนตัว โกรธง่ายหายไว
เวลาทะเลาะกันจะยกเรื่องครั้งก่อน ๆ มารวมด้วย

จุดอ่อน
สันโดษเกิน

พลังของคนสีน้ำเงิน
คือ Mental energy ชอบทำงานแบบใช้ความคิด ทำงานจากสมอง
ลงมือทำน้อยเพราะสนุกกับความคิด

ตัวอย่างคนสีน้ำเงิน
การ์ตูน คือ  อิคคิวซัง (เดี๋ยวขอนั่งใช้สมองก่อน)
ท่านว. วชิรเมธี, กรณ์ จาติกวณิช, JK Rowling,


ตัวอย่าง ตรงสี ถึงมีหมื่นล้าน

Starbucks ตัวแทนคนสีเขียว
ขายสังคม (Community) ใช้ความสัมพันธ์นำ ให้คนที่เบื่อการทำงานในออฟฟิตได้ใช้ร้าน
เปลี่ยนบรรยากาศเป็นที่ประชุม/ทำงาน พนักงานทำความรู้จักลูกค้า
ตั้งราคาที่แพงตามจุดยืน เน้นภาพลักษณ์ ความชิล หรู ๆ กำไร

Uniqlo ตัวแทนคนสีเหลือง
ขายเสื้อผ้าแนวตัวเอง ไม่ตามแฟชั่นแต่ไม่เชย รักษาจุดยืนไม่ตามกระแสใส่สบาย ๆ
จัดวางสินค้าเน้นความเป็นระเบียบ พิถีพิถัน ลูกค้าจะรู้สึกว่าสินค้ามีคุณภาพตั้งแต่วัสดุใส่ใจรายละเอียด
มีทุกสี ทำแบบเลือกได้ มีสต็อกสินค้า

ZARA ตัวแทนคนสีแดง
ขายแบรด์เสื้อผ้าระดับโลก เน้นความเร็ว ลูกค้าจะเจอเสื้อผ้าใหม่ ๆ จากเทรนด์ทั่วทุกมุมโลก
ราคาไม่ได้แพงอย่างที่คิด ขยายธุรกิจต่อเนื่อง สร้างคู่แข่งมาสู้กับตัวเอง
แต่งร้านให้ลูกค้าเจอสิ่งที่ถูกใจโดยเร็ว ทำโปรโมชั่นตาค้าง ลดราคาจริง เพื่อขายให้หมดสต็อก
จะได้รีบออกสินค้าใหม่

IKEA ตัวแทนคนสีน้ำเงิน
ขายไอเดีย สร้างจินตนาการให้ลูกค้า
ออกแบบร้านให้ลูกค้าอยู่ในร้านนาน เดินตามทางเลือกสินค้าทั้งหมด ก่อนเข้าสู่โกดังไปหยิบสินค้าเอง
ให้ลูกค้าประกอบสินค้าเอง มีสินค้าแปลก ๆ เต็มร้านไปหมด
สื่อสาร Branding เชิงสร้างสรรค์ ลูกค้ามักจะลืมว่ามาซื้ออะไร เมื่อจ่ายเงินได้ของกลับบ้านมากมาย


หนังสือเล่มนี้ยังเข้มข้นไปด้วยเนื้อหาอีกมากมาย เช่น Startup ของคนแต่ละสี
การสร้าง Talent Matrix (ความมั่นคงที่มาจากตัวเราจริง ๆ)
คิดตามสีสู่คนต่าง Gen (Baby boomer, Gen X , Y, Z)
ลองซื้อหนังสือ "เพราะตรงสี ถึงมีหมื่นล้าน" มาอ่านดูค่ะ

บางคนอาจมีจุดเด่นของแต่ละสีซ่อนอยู่ บางคนอาจเป็นได้ทั้งสองสี หรือสีหนึ่งค่อนไปอีกสีหนึ่ง
มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ คือ Birkman test
เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.wealthbyflow.com
มีแบบทดสอบเบื้องต้นให้ลองทำดู ฟรีค่ะ
ไปลองมาแล้ว...

ผลลัพธ์ตามด้านล่างนี้

คนสีเหลือง = คนสีน้ำเงิน 


















ผลวิเคราะห์เบื้องต้น หากผลรวมมากกว่า 75% ถือว่ามีค่าสีนั้น ๆ ในตัวสูง

ออกแบบความคิด พิชิตฝัน (visualize your life)

Cr. จอม เอกพนิฏฐ์
หนังสือเล่มนี้ ผู้แต่งให้แนวทางการลงมือทำเพื่อพิชิตฝัน(อันสูงส่ง) ให้สำเร็จเป็นจริงได้
โดยอธิบายวิธีการอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ผู้เขียนยกตัวอย่างด้วยประสบการณ์ตรงของตนเอง
เห็นภาพชัด เข้าใจง่าย ความสำเร็จของผู้เขียนเกิดจากการตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำ
อย่างมีวินัยและต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อ ความมุ่งมั่น ความขยัน และความอดทนอย่างมาก
ของผู้เขียน นอกจากนี้มีความพิเศษตรงที่มี "หนังสือเกม" เล็ก ๆ ติดไว้ท้ายเล่มมาให้ด้วย
เพื่อให้เราลองทำ ใช้ความคิดวิเคราะห์ตัวเองออกมาผ่าน 13 หัวข้อย่อย
ผลลัพธ์ที่ได้คือ "ลายแทงเดินตามหาฝัน"

visualize your life














ค้นหา รู้จักตัวเอง

ทำให้เราเข้าใจจุดที่เรายืนในวันนี้ สิ่งที่เราเป็น สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่เป็นความสามารถของเรา
ผ่าน 6 ตัวช่วย ได้แก่

1. แรงขับ (drive)
ปัญหา เงื่อนไขในชีวิต เช่น ความยากจน ความลำบาก ซึ่งเป็นพลังงานลบเราสามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังงานบวกเพื่อใช้เป็นแรงขับให้กับเราได้

2. ความเชื่อ (belief)
ยกตัวอย่างของผู้เขียน เช่น เชื่อในการเลือกเดินในทางที่เดินได้อย่างภาคภูมิใจ
เชื่อในการไม่ตัดสิน และเชื่อในความดีการเป็นคนดี

3. กิจกรรม (activities)
มองภาพสะท้อนตัวเองจากความชอบในสิ่งที่ทำ เราจะรู้จักตัวเองได้ดีขึ้น
ลองนึกถึง "ความคิด" หรือ "กิจกรรม" ผ่าน 6 มุมมอง ได้แก่
- สิ่งที่ "ชอบ" Like
  เช่น ชอบสร้าง วาดรูป เล่นดนตรี ต่อของ
- สิ่งที่ "ง่าย" Easy
  เราทำได้ ไม่ว่าจะชอบ/ไม่ชอบ เราอาจได้ใช้มันในอนาคต เช่น อดนอนได้หลายวัน สื่อสารอังกฤษได้
- สิ่งที่ "แอบอยากทำ" Wish
- สิ่งที่ "ไม่ชอบ" Hate
  เราจะรู้ได้เลยว่าจะเลี่ยงมันได้มั้ย หรือต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะมันอาจมีโอกาสดี ๆ ซ่อนอยู่ในนั้นก็ได้
- สิ่งที่ "ยาก" Hard
  จุดอ่อนสำหรับเรา เอาไว้พัฒนาในอนาคต
- สิ่งที่ "กลัว" Fear
  ยิ่งกลัวยิ่งต้องใส่ใจ เพราะมันอยู่ในใจเราแอบบงการชีวิตเราโดยเราไม่ทันรู้ตัว
 
4. ความกลัว (Fear)
เราต้องรู้ ใช้มันผลักดันเราไปข้างหน้าให้เราต้องทำอะไรสักอย่าง
เช่น กลัวทำหน้าที่เราได้ไม่ดี กลัวทำให้คนที่เรารักไม่มีความสุข กลัวจะผิดหวังในตัวเอง
เผชิญหน้ากับความกลัว ก่อนที่มันจะมาบงการเราทั้งชีวิต

5. จุดแข็ง (Strengths)
จุดแข็ง คือ พรสวรรค์/talents (ที่เราได้รับจากพ่อแม่ผ่านดีเอ็นเอ)
แล้วลงทุนเวลา ลงแรง ลงใจทุ่มเทฝึกฝน จนกลายเป็นจุดแข็งในที่สุด
ลองนึกดูในตัวเรามีอะไรบ้างใน 3 สิ่งนี้ พรสวรรค์(Talent) ความรู้(Knowledge) ทักษะ(Skill)
นำสามสิ่งนี้ผ่านกระบวนการฝึกฝน ลงแรงให้เติบโต กลายเป็นจุดแข็งของเราต่อไป

ถ้ายังไม่มีก็ยอมรับว่าไม่มี ถ้ามีก็รีบหาทางใช้ต่อให้เกิดประโยชน์งอกเงย
ดึงศักยภาพบางอย่างของเราออกมา ทำให้เป็นจุดแข็งให้ได้

"นิสัย" หรือ "บุคลิกภาพ" มี 32 แบบ ลองพิจารณาเลือกบุคลิก 5 แบบที่คิดว่าเป็นจุดแข็งของเรา
บุคลิกภาพด้านมีเหตุมีผล
ชอบค้นคว้า, ออกคำสั่ง, วิเคราะห์, รับผิดชอบ, เสมอภาค, ชอบเก็บข้อมูล ฟัง, ฟื้นฟูตัวเองเร็ว,
ความอดทนสูง, แผนสูง, มีระเบียบวินัย, กล้าตัดสินใจ, เชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ, ชอบจัดการ,
ปรับตัวเก่ง, ย้อนอดีต มองเหตุปัจจัย, พูด สื่อสาร
บุคลิกภาพด้านอารมณ์
ตื่นเต้นกับการเรียน, ชอบสร้างไอเดีย, นักฝัน, รอไม่ไหวแล้ว อยากลงมือทำ, แข่งขัน,
ยึดมั่นในความเชื่อ, โฟกัส, เข้าใจคนอื่น, คิดบวก, อยากโดดเด่น, นักตื๊อมือทอง,
มั่นใจในตนเอง, ชอบติดต่อกับคนอื่น, ปรองดอง, เห็นข้อดีคนอื่น, ดึงดูดคนเข้าหากัน

6. สิ่งที่หลงใหล ชื่นชอบจริง ๆ (Passion)
การมี passion มันทำให้เราทำสิ่งนั้นได้ดี เป็นเชื้อเพลิงชั้นเยี่ยมที่จะผลักเราไปข้างหน้า
เป็นกุญแจสำคัญในการก้าวไปค้นพบเป้าหมายที่เราอยากจะไปหา
passion หน้าตาเป็นยังไงนั้น เราต้องลองไปหามัน สังเกตสิ่งที่ชอบทำ สิ่งที่อยากทำ
ลองให้เวลากับมัน ศึกษา ถ้าเราหลงใหลชื่นชอบจริง ๆ อยากทำมันครั้งแล้วครั้งเล่า
สิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็น passion ของเราก็ได้

ตั้งเป้าหมาย (Goals)

การออกแบบชีวิต เราจะทำอะไรในก้าวต่อไปดี มีเพียง 3 สิ่งที่ต้องพิจารณา คือ
สิ่งที่ "อยากทำ"  I would love to do
สิ่งที่ "ต้องทำ"    I have to do
สิ่งที่ "ทำได้"      I can do it
ลองเขียนเป็นวงกลม 3 วง และใส่กิจกรรม/สิ่งที่สอดคล้องกับ 3 กลุ่มนี้
สังเกตพื้นที่ซ้อนทับของ 3 วงนี้ดู เราจะเห็นว่าอะไรที่เราชอบ(อยากทำ) ตอบโจทย์สิ่งที่ต้องทำ
และเราก็ทำมันได้ด้วย นั่นแหละคือสิ่งที่น่าจะทำในก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ลงมือทำ วางแผน พร้อมลุย (Plan & Do)

เริ่มจาก set milestone กำหนดขั้นของความสำเร็จ (แบ่งความสำเร็จเป็นขั้นย่อย ๆ เรียงตามลำดับ)
ทำ action plan เพื่อติดตามรายละเอียดสิ่งที่ต้องทำ
จัดเวลา plan your time บริหารเวลา พิจารณาว่าในหนึ่งวัน เราทำสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ชอบ
และสิ่งที่เป็นเป้าหมาย เป็นสัดส่วนยังไง ค่อย ๆ ปรับเพิ่มเวลาให้กับสิ่งที่เป็นเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น


ก้าวข้ามอุปสรรค (Knock the blocks out)

เราจะจัดการยังไงกับปัญหา/อุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางเราระหว่างทางเดินไปสู่เป้าหมาย
มีวิธีคิด คือ อดทนไม่ล้มเลิกก่อน (สู้จนวันสุดท้าย)
มีพลังดันตัวเอง สร้างปาฏิหาริย์ด้วยสองมือของตัวเอง
ดันตัวเองอย่ารอเจ๊ (อย่าดันตัวเองจนกลายเป็นคนใจแคบ แต่ดันตัวเองและพามิตรใกล้ตัวไปด้วยกัน)
เริ่มก่อน เดินนำ ทำเลย
transformer แปลงพลังงานลบเป็นพลังงานบวกได้
กรองสิ่งที่จะรับ เลือกสิ่งที่จะตอบโต้
เริ่มก่อน ล้มก่อน รู้ก่อน เก่งก่อน

เราทุกคนมีสิทธิเลือก ที่จะเป็น "อะไร" ของชีวิตเราก็ได้
"ทาสความคิด" "นักออกแบบชีวิต" "ผู้กำกับชีวิต"

ตอนเด็ก เรามีพลังในการ "ฝัน"
พอโตเป็นผู้ใหญ่ เรามีพลังในการทำให้ "เกิดขึ้นจริง"
ถ้าเรารวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน เราจะสร้าง "สิ่งใหม่ ๆ" ที่เราไม่เคยทำมาก่อน
หรือโลกอาจยังไม่เคยมีมาก่อนก็ได้

เราทุกคนมีพลังที่จะสร้างสิ่งที่เราฝันให้เป็นจริง
แค่ต้อง "เชื่อ" และ "ทำมัน"
ฝันพร้อม ใจพร้อม กายพร้อม ลงมือทำ...


(ก่อน)...เวลาสุดท้าย

Cr. โปรเชน - สหรัฐ มานิตยกุล (เจ้าของเพจ Pro Chain Saharath)
หนังสือเล่มนี้เป็นอีกหนึ่งเล่มที่เลอค่าทางจิตใจและความคิด
บอกเล่ามุมมองการใช้เวลาของคนเราไปกับ 3 ช่วงสำคัญ ๆ
คือ การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิต


ก่อน...เวลาสุดท้าย

















การเรียน

- การเข้าใจความรู้ใด ๆ ไม่สำคัญเท่า การเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
- เราจะรู้ว่าเราชอบ/ไม่ชอบอะไร ให้ลองทำ ถ้าทำมันได้ทั้งวันไม่เบื่อ แปลว่าสิ่งนั้นแหละที่ใช่
- เราควรเขียนอนาคตจากความสุข
- หัดตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตัวเองก่อน จะทำให้เราเข้าใจมันจริง ๆ
- เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า เราคือกูรูผู้รอบรู้ เมื่อนั้นคือวันที่เราหยุดพัฒนาตัวเอง


การทำงาน

- ผลลัพธ์จากการทำงาน ควรเป็น ความมั่นคงทางความคิด
- ถ้าเราไม่เริ่มมีเป้าหมายในชีวิต ก็ไม่มีวันได้ไปไหนเลย
- อย่ากลัวการเริ่มต้น อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง แต่จงกลัวการไม่กล้าทำอะไรเลย
- ผู้เชี่ยวชาญ คือคนธรรมดาที่ผ่านการทำครั้งแรก(ที่ดูยาก) มาแล้วหลาย ๆ ครั้ง
- จงสร้าง "วินัย" และ "ความขยัน" ให้เป็นนิสัย เพราะมันเป็นลักษณะของคนที่ประสบความสำเร็จ
- อย่ายึดติดในมุมมองใหม่ที่เรากำลังเห็น เพราะมันคือ กะลาใบต่อไป
- ตอบโจทย์อย่างแตกต่าง คือ ตอบอย่างสร้างสรรค์ในแบบของเรา ไม่ใช่พยายามเปลี่ยนโจทย์
- ความสำเร็จ...ไม่เคยสำเร็จรูป

การใช้ชีวิต

- อย่าใช้ชีวิตเพื่อรอคอยอิสระในวันหยุด จริง ๆ แล้วมีเวลาอิสระสอดแทรกอยู่ในทุก ๆ วัน
- เราได้มีชีวิตอยู่เพื่อคนสำคัญของเราหรือยัง หรือใช้เวลาหมดไปกับสิ่งอื่นที่สังคมบอกว่ามีค่า
  จนลืมสิ่งที่มีค่าจริง ๆ ในชีวิต


แม้ว่าเป้าหมายและเงื่อนไขชีวิตแต่ละคนต่างกัน
แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ "เวลา" ที่สั้นนิดเดียวแค่ "วันนี้"
ดังนั้นควรตั้งคำถามและหาคำตอบกับตัวเองให้ได้ว่า
ในวันนี้เราใช้เวลาได้อย่างเห็นคุณค่าของมันแล้วหรือยัง ก่อนที่เวลาสุดท้ายจะมาถึงจริง ๆ...
 



ไปคนเดียว เที่ยวหลีเป๊ะ 1-3/03/2561

ครั้งแรก...เที่ยวคนเดียวแบบค้างคืน (3 วัน 2 คืน)
ครั้งแรก...พักห้องพักรวมหญิง (ห้องน้ำ/อาบน้ำรวมชายหญิง)

ทำการบ้านก่อนเที่ยว

หาข้อมูลรีวิวการเดินทาง,ที่พัก,เกาะหลีเป๊ะ หาดต่าง ๆ ของเกาะ, ทริปดำน้ำ (โซนใน/นอก)
ค่าใช้จ่าย สุดท้ายรีวิวการเที่ยวคนเดียวหลีเป๊ะ (มีผู้หญิงคนนึงเคยไปก็ปลอดภัยดี)

การเตรียมตัว

1. จองที่พัก
เพราะไปช่วง high season และเป็นวันหยุดยาว ที่พักแพงมาก เลยจองแบบ dormitory hotel 
เลือกห้องพักรวมหญิง ห้องแอร์เปิด 24 ชม. มีเตียง 2 ชั้น 4 ชุด มีล็อกเกอร์พร้อมกุญแจล็อค
ห้องน้ำ/อาบน้ำรวม หลังห้องมีราวตากผ้าให้ ห้ามกินอาหารในห้อง มีห้องรวมด้านล่างฟรี wifi, TV
ชากาแฟขนม ผลไม้ให้ทาน ราคา 495 บาท/คืน เทียบราคาแล้ว ไปคนเดียวแบบนี้แหละถูกและดีได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วย แต่เพื่อความปลอดภัยของเรา ก็โทรเชคกับโรงแรมก่อน ถามว่าถ้าคืนแรกมีปัญหาไร นอนไม่ได้จริง ๆ มีห้องพักเดี่ยวไว้ให้มั้ย เขาบอกว่ามีว่างไว้ให้พักได้ทันที เพิ่มตังค์อีกประมาณนี้..เราก็สบายใจ มีแผนสองเผื่อไว้พร้อม)
2. ชุดดำน้ำ
(เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว) ดูรีวิวบอกว่าบางช่วงจะมีแตนทะเลเยอะ ทำให้เจ็บ ๆ คัน ๆ
3. กันแดดหน้าตัว หมวก แว่น ผ้าคลุม
4. ถุงกันน้ำ ไว้ใส่ของที่ไม่อยากให้เปียก
5. เงิน 
คำนวนคร่าว ๆ ขั้นต่ำสำหรับหลีเป๊ะ คือ 3 พันบาท เรือไปกลับเกาะหลีเป๊ะ 1 พัน 
ทริปดำน้ำ 500- 1000 (ขึ้นอยู่กับว่าเที่ยวโซนไหน ไปยังไง เรือหางยาว/สปีดโบ๊ท เหมาลำ/จอยทริป)
ที่พัก 2 คืน 1 พัน
กิน 1 พัน (แบบประหยัด เพราะที่เกาะทุกอย่างแพงมาก no seafood ไว้กินที่อื่่นถูกกว่า)
6. กล้องถ่ายรูป ใช้สมาร์ทโฟนธรรมดา ไม่เน้นภาพสวย/ใต้น้ำ

เดินทาง

ขับรถสงขลาไปท่าเรือปากบารา (ฝากรถ 100/คืน)
ซื้อตั๋วสปีดโบ๊ทท่าเรือปากบารา แวะเกาะไข่ เกาะหลีเป๊ะ (ไปกลับ 450 บาท x 2 = 900 บาท)
ขาไป 10.30 น. ขากลับ 13.30 น.
ค่าอุทยาน (60 บาท ไว้ใช้วันดำน้ำที่ขึ้นเกาะรอกลอย กับเกาะหินงาม มีเจ้าหน้าที่ตรวจ)

เกาะไข่

น้ำทะเลใสมากก...มีซุ้มหินใหญ่กับเล็กติดกัน ไว้ให้เดินลอดผ่าน
มี story ว่า ถ้าลอดจากใหญ่ไปเล็ก คือ คู่รักจะรักกันยาวนาน
จากเล็กไปใหญ่ คนโสดจะได้คู่ หรือคนมีคู่(เบื่อแล้ว)อยากโสด
for me don't care ก็ซุ้มเล็กมันเดินยาก เลยไปลอดซุ้มใหญ่ ขากลับก็ผ่านซุ้มใหญ่เหมือนเดิม555


ซุ้มหินใหญ่ เกาะไข่ หลีเป๊ะ














หาดหลังซุ้มหินเกาะไข่ หลีเป๊ะ














วิวมองจากเก๊าะไข่ น้ำใสๆ หลีเป๊ะ















เกาะหลีเป๊ะ

ถึงเกาะเที่ยงนิด ๆ เรือจะขับผ่านหาดซันไรส์ก่อน แล้วเข้าจอดที่หาดพัทยา(บันดาหยา)
เป็นหาดที่เรือพานักท่องเที่ยวจอดเข้า/ออกจากเกาะ
ดูรีวิวมาเขาว่ามี 3 หาด คือ ซันไรส์ ซันเซ็ท และพัทยา
โรงแรมที่จองไว้อยู่ถนนคนเดิน กะว่าจะเดินไปไม่นั่งรถ เพราะจัดกระเป๋ามาใบเล็กแล้วพร้อมมาก
เดินมั่ว ๆ ถามบ้าง ใช้เวลา 3 นาที ถึงที่พัก คือ โชคดีบังเอิญเดินลัดมาปุ๊บก็เจอโรงแรมเลย55

โรงแรม

เช็คอิน เขาขอค่ามัดจำกุญแจ 500 คืนเงินวันออก ดีนะเผื่อตังค์มาบ้าง ฮ่าๆๆ
ห้องพักชั้น 2 ในสุดก่อนถึงห้องน้ำรวม พนักงานพามาส่งถึงเตียง มีกุญแจห้องพัก กุญแจล็อคเกอร์
ได้เตียง 7 เตียงล่างในสุด ส่วนตัวดียังไม่มีคนพักเตียงบน พนักงานบอกมีปัญหาอะไรแจ้งได้นะคะ
เข้าห้องปุ๊บล็อคกุญแจก่อนเลย จัดของใส่ล็อคเกอร์สักพักพอเสร็จ มีฝรั่งนอนอยู่เตียงติดกัน เหมือนเพิ่งตื่น ลุกขึ้นมาคุยโทรศัพท์นางเดินไปนอกห้อง จะเปิดประตูอ้าวล็อค เหมือนว่าปกติเขาไม่ล็อคกัน เราก็อ่อ...น่าจะไม่ล็อคกัน เท่าที่สังเกตห้องรวมอื่น ๆ ก็ไม่ล็อค55 พักแป็บก็เตรียมของใส่เป้ กะว่าไปเดินเที่ยวผ่านถนนคนเดิน หาร้านกินข้าวเที่ยง แล้วมุ่งไปหาดซันเซ็ทรอดูพระอาทิตย์ตกเลย ค่อยกลับมานอนตอนค่ำทีเดียวเลย ยาวไป ๆ ก็ออกจากห้องไม่ล็อคเหมือนกัน...

ข้าวเที่ยง เดินผ่านถนนคนเดินไปเรื่อย ๆ หาร้านข้าวแกง/ตามสั่ง ที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ได้ร้านนึงก็สั่ง
กะเพราหมูสับ มีตับหมูมั้ยใส่ด้วย แม่ค้าว่าหมดจ้าตับไก่เอามั้ย-ได้หมด ขอเผ็ด ๆ แห้ง ๆ นะคะ
ในร้านมีน้องผู้หญิงลูกเจ้าของร้าน ป้า ลูกจ้างหญิงอีกคน
ป้าถามมาคนเดียวหรอลูก มีที่พักยัง ป้ามีนะของญาติ ๆ กันนิ - มีแล้วค่า แถวถนนคนเดิน
เท่าไหร่ลูก ....เท่านี้ค่า ห้องแอร์ -อ่อ ของป้าห้องพัดลม เพิ่งทำห้องเสร็จ ไว้มาอีกมาพักของป้าได้นะ
อันนี้หนูจองผ่านเว็บค่ะ ป้าบอกญาติให้เอาขึ้นเว็บสิ จะได้มีลูกค้าเยอะ ๆ ...
ระหว่างรอก็ชวนคุยไปเรื่อย ป้าไปดำน้ำยัง ไปหาดทุกหาดยัง -ป้าไม่ได้ไปเลยเฝ้าร้านทุกวัน พรรคพวกชวนไปดำน้ำ ฟรีนิ แต่ไม่ได้ไปที เพิ่งกลับมาจากฝั่งไปเยี่ยมลูกชาย...

กะเพราหมูสับตับไก่ แตงกวามะนาวจัดเต็มมาก 80 บาท














เด็กเสิร์ฟถามเอาน้ำไรมั้ย มี....-ไม่เปนไร พี่มีน้ำเปล่าแล้วจ้า (มีน้ำขวดพกใส่เป้มามีน้ำเหลืออยู่)
กินเสร็จเก็บตังค์ น้องบอก 100 บาท ก็จ่ายไปไม่คิดไร อีกวันหลังดำน้ำเสร็จมากินร้านนี้อีกคราวนี้สั่งข้าวและน้ำเปล่าขวดนึงด้วย แต่พอคิดเงินน้องเขาบอกว่า 80 ค่ะ เราก็งง คือน้องเขาว่าเมื่อวานหนูคิดเงินผิด พี่ไม่ได้สั่งน้ำเนอะ 555

หลังจากถามว่าจะเล่นน้ำที่ไหนได้บ้าง ไปหาดซันเซ็ทยังไง ก็ออกจากร้านข้าวเดินไปหาดซันเซ็ท
ดูป้ายแผนที่ซึ่งเขามีไว้เป็นจุด ๆ ประกอบกับป้ายบอกทาง ถามร้านค้าไปบ้าง ใช้เวลา 10 นาที ถึงหาด
แต่เดินเลยทางลงหาดที่เป็นทางสาธารณะไป เลยลงทางรีสอร์ทแห่งนึงที่ไม่ได้ติดป้ายห้ามไว้ (บางที่จะติดป้ายห้ามคนนอกเดินผ่าน) ผ่านบังกะโลไม้ไปเรื่อย ๆ ตามทาง เจอป้าแม่บ้านทำความสะอาด ยิ้มให้ ถามว่าไม่ร้อนหรอ - ยิ้มตอบ อืมร้อนเนอะ พอเดินมาสุดทางจะลงหาด
O M G วิวดีงามมาก หายร้อนเลย นั่งพักบนโขดหินแป็บ...

ทางลงหาดรีสอร์ทแห่งนึง หาดซันเซ็ท หลีเป๊ะ












วิวขวาล่าง หาดซันเซ็ท













หาดซันเซ็ท หลีเป๊ะ













หาดซันเซ็ท หลีเป๊ะ













นั่งพักมองวิวชิล ๆ รับลมบนโขดหินให้หายเหนื่อยก็เดินลัดลงไปที่หาด
ถึงหาดนี้เวลาประมาณบ่ายสองครึ่ง เป็นชายหาดสั้น เงียบสงบสุดเมื่อเทียบกับอีก 2 หาดของเกาะ
มีแต่ฝรั่งจริง ๆ นั่ง นอนอาบแดด กินเบียร์ อ่านหนังสือ เราก็นั่งพักถ่ายรูปรอเวลา สั่งน้ำแตงโมปั่นมากิน
แก้วนึง 100 บาทจ้า แซวคนขายไปนี่ราคาคนไทยแล้วใช่มั้ยย...(จากการเทียบราคาแล้ว หาดนี้น่าจะแพงสุด เพราะฝรั่งเยอะ มีร้านเดียวสองร้านขายแบบผูกขาด) แต่ก็โอเคกินแล้วสดชื่นมาก...

หาดซันเซ็ท หลีเป๊ะ









ร้านขายน้ำ มีเสื่อหมอนไว้ให้ริมหาด แตงโมปั่นแก้วละ100 ก็จะสดชื่นมากหน่อย55
















ถ่ายรูปเล่น ระหว่างรอเวลา













หาดซันเซ็ท หลีเป๊ะ













หาดซันเซ็ท หลีเป๊ะ













น้ำทะเลหาดซันเซ็ทจะใสน้อยกว่าอีก 2 หาด เพราะมีเศษใบไม้เป็นขุย ๆ ยุ่ย ๆ ด้วย แต่ฝรั่งก็ลงเล่นน้ำเรื่อย ๆ นอนอาบแดดบ้าง ไม่สนว่าร้อนมั้ย ลงน้ำหรืออาบแดดส่วนใหญ่ก็ 2 pieces ยกเว้นเดินกลับก็ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นทับทูพีช หรือใช้แค่ผ้าคลุมทับ ดูง่าย ๆ สะดวกดี
นั่ง ๆ นอน ๆ ริมหาดสักพักเริ่มเบื่อ รอแดดลดสักนิดกะจะเดินเลียบริมหาดไปเรื่อย ๆ ให้สุด จะดูว่าไปถึงไหนกัน สี่โมงกว่าก็เริ่มเดินไป  ลัดเลาะโขดหินบ้าง มีโซนน้ำลงเห็นปะการังเล็กเต็มเลย ผ่านรีสอร์ทหลากหลาย หาดนี้เงียบจริง ๆ ส่วนตัวมาก เดินผ่านหาดมา 2 หาดยาวติด ๆ น่าจะสัก 600 เมตรได้ 
ก็เจออีกหาดนึง น้ำใสมากสีฟ้าอ่อน เขียวอ่อน หาดทรายขาวละเอียด มีช่วงน้ำตื้นเป็นเกาะทรายขาวอยู่ในทะเลด้วย มีคนเล่นน้ำเต็มไปหมด ตอนแรกงง ๆ ว่านี่หาดอะไร ปรากฎว่าเดินมาจนถึง หาดซันไรส์ แล้ว (บริเวณหาดอันดามัน) โห...นักท่องเที่ยวเต็มไปโหมด ทูพีชละลานตา เรานี่ปิดมิดชิดกางเกงขายาว เสื้อยืด ผ้าคลุม หมวก แว่น พร้อมมากกลัวแดด ไปซื้อน้ำเปล่าขวดเล็ก 20 บ้านข้างโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง นั่งดูบรรยากาศ เก็บรูป




อันดามัน หาดซันไรส์ หลีเป๊ะ

ไหน ๆ ก็มาถึงหาดนี้แบบไม่ตั้งใจและยังพอมีเวลา เดินยาวไปดูซันไรส์ดีกว่า มีไรบ้าง
เต็มไปด้วยรีสอร์ทแน่นมากติด ๆ กันเลย หลากหลายสไตล์ คนเยอะมาก 
แต่น้ำที่หน้าหาดในช่วงนี้เป็นช่วงน้ำลง ปะการังโผล่เต็ม มีป้ายปักไว้ห้ามลงเล่นน้ำหรือพายเรือ เขากลัวไปเหยียบปะการังเสียหาย มีโซนเล่นน้ำได้ที่หาดอันดามัน แถวโรงเรียนบ้านเกาะอาดังเท่านั้นสำหรับหาดซันไรส์ เดินไปสุดก็ย้อนกลับทางเดิม ไปหาดซันเซ็ท ระหว่างทางผ่านหาดอันดามัน ซันไรส์ ก็มีคนนั่งรอดูพระอาทิตย์ตกเยอะเหมือนกัน คือทุกคนนั่งริมหาดทราย โขดหิน ตั้งกล้องรอ ดูสงบ มุ่งความสนใจไปที่จุดเดียวกัน...

วิวพระอาทิตย์ตก หาดอันดามัน ซันไรส์ หลีเป๊ะ

วิวพระอาทิตย์ตก หาดซันเซ็ท หลีเป๊ะ
ขากลับก็เดินเหมือนเดิมจ้า แต่ก็มีรถมารอรับคนกลับถนนคนเดินอยู่ (คนเดินกลับก็เยอะเหมือนกัน)
แวะซื้อของกิน (มาม่า โจ๊กคัพ น้ำดื่ม) และถามทางคนขายก็ได้ทางกลับอีกทาง ลัดไปใจกลางถนนคนเดินเลย ใกล้กว่าขามา บรรยากาศถนนคนเดินค่ำ ๆ คึกคักกว่าตอนกลางวันมาก มีร้านอาหารทะเล ร้านนั่ง ดนตรีสดลูกค้าเต็มหลายร้าน เราก็มาเดินหาซื้อทริปดำน้ำพรุ่งนี้ ดู2-3ที่ ก็ได้ของบังรูน 1000 บาท เที่ยวทั้งโซนนอกโซนใน เรือสปีดโบ๊ทแบบจอยทริป 15 คน มีคนซื้อทัวร์ไปแล้วครึ่งนึงตอนลงชื่อ ดูผ่าน ๆ มีแต่จีนกะฝรั่ง นัดเจอที่ร้านขายตั๋วพรุ่งนี้ 9 โมง 15
จากนั้นก็แวะกลับที่พัก เข้าห้องโถงรวมก่อน มีคนนอนดูทีวี เราก็กินมาม่ากับขนมเป็นมือเย็น เล่นเน็ตสักพัก ขึ้นห้องอาบน้ำกะว่าจะนอนเร็วหน่อย เริ่มเพลียวันนี้เที่ยวไป 2 หาด เดินร่วม ๆ 5 กิโลได้มั้ง55 ต้องพักเอาแรงไว้ดำน้ำพรุ่งนี้อีกทั้งวัน

น่าจะหลับไปสัก 4 ทุ่มได้ ก่อนนอนไม่มีเพื่อนร่วมห้องอยู่เลย น่าจะนั่งดื่มแถวถนนคนเดิน (มโนไปเอง)
สักพักเที่ยงคืนสะดุ้งตื่นได้ยินเสียงซาวแทรคภาษาไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่อังกฤษ
คุยเม้ากันใหญ่ ไม่รู้เพราะเมาหรือมาเที่ยวกันเป็นแก๊งค์ 3-4 คน รู้จักกันหมดคงคิดว่าอยู่กันแค่พวกเขา
ในใจก็กลัวว่ามันจะมาเปิดผ้าม่านเตียงตรูมั้ยนิ สักพักเสียงเริ่มเงียบ ก็หลับต่อไม่มีไรเกิดขึ้น
เตียงกว้างเมตรนิด ๆ ไม่ชิน พลิกตัวไปเต๊ะฝาผนังดังปั๊ก ได้ยินเสียงฝรั่งเตียงข้าง ๆ ร้อง Ah.. คงตกใจ
เอาคืนมั่ง555

ตั้งปลุกไว้ 6 โมงกะว่าถ้าตื่นจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หาดซันไรส์ ตื่นไม่ไหวจ้า เพลียไว้อีกวันแล้วกัน
ยังพอมีเวลานอนต่อ ชิลตื่น 8 โมง อาบน้ำแต่งตัว ลงมาห้องด้านล่างกินโจ๊กคัพ เขามีชากาแฟขนม วันนี้มีกล้วยหอมไว้ให้ด้วย เดินไปถึงร้านบังรูนก็มีเพื่อนร่วมทริปมาแล้วบางส่วน ถึงเวลาไปขึ้นเรือ มีแต่จีนกับฝรั่ง เขาแวะไปรับคนไทยอีก 2 คนที่เกาะอาดัง เป็นคู่เพื่อนชายหญิง ผู้ชายขึ้นเรือมาก็ยิ้้ม friendly  Hello มาแต่ไกล จีนกับฝรั่งบนเรือ เงียบกริ๊บ!! เราก็เลยยิ้มให้นิด ๆ ที่มุมปาก 555 (แอบขำอยู่ในใจ) สรุปแล้วทั้งลำ ฝรั่ง 7 จีน 4 ไทย 4 มีคนขับกับผู้ช่วยชายไทยอีก 2 คน ทุกคนมีสไตล์ มาแบบเที่ยวคนเดียว 3 คน ชายฝรั่ง1 ไทยหญิง2(รวมเราด้วย) ครอบครัวฝรั่ง4 คู่รักฝรั่ง1 จีนคู่หญิงทอม1 คู่จีนเพื่อนชายหญิง1
ไทยคู่เพื่อนสาวเพื่อนชญิง1(นางทากันแดดหลังดำน้ำทุกเกาะ จนผู้ชายจีนที่มาด้วยนั่งเม้ากับเพื่อนเลยว่าต้องใช่แน่ ๆ บางครั้งไม่รู้ภาษาพูดก็เข้าใจได้ ภาษากายสายตาโคตรจะชัด555) 

เกาะหินซ้อน

คนขับวนเรือให้ถ่ายรูปเฉย ๆ แค่ 3 นาที

เกาะหินซ้อน หลีเป๊ะ

เกาะหินซ้อน หลีเป๊ะ

เกาะดง

ดำน้ำ 15-20 นาที ชูชีพให้ใส่ก่อนเรือออกอยู่แล้วเขาแจกสน็อคเกิลทุกคนแต่ทั้งเรือมีตีนกบแค่ 2 คู่ 
เลยอด เจอปลาการ์ตูน ปะการังเขากวาง ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ ปะการังอ่อนหลายสี ปลานีโม 
ปลาปักเป้า ปลานกแก้ว...ปะการังกับปลาอีกหลายสี ไม่รู้จักชื่อ
บริเวณดำน้ำจะมีเชือกลอยกั้นเขตไว้ ไม่ให้เรือเข้าไปกว้างประมาณ 30 เมตร ยาว 20 เมตร 
เราก็ดำไปเรื่อย ๆ ว่ายวนไปไกลเรือก่อน แล้วค่อยวนอีกด้านกลับมาที่เรือ ก็ดำไป โผล่ขึ้นมาเป็นช่วง ๆ
เพื่อดูว่าเราอยู่ห่างจากเรือแค่ไหน อยู่ตรงไหนแล้ว มีใครอยู่ใกล้ ๆ บ้าง 
การดำน้ำเงียบ ๆ คนเดียว มันก็มีความรู้สึกกลัวนิด ๆ ในช่วงแรกว่าจะเจออะไรที่เราไม่อยากเจอมั้ย...สัตว์มีพิษ/ผี... แต่ก็แว๊บเดียวแล้วมันก็เพลินไปกับความงามตรงหน้าของโลกใต้ทะเล ทำให้เรานิ่งมากขึ้นด้วย แค่หายใจทางปากกับสน็อคเกิล ตีขา มือก็ว่ายไปเรื่อย ๆ ความกล้าก็เข้ามาแทนที่ แค่โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าสิ่งที่มโนไปเอง...

เกาะรอกลอย

เป็นเกาะมีน้ำรอบ ๆ ใสมาก มีจุดชมวิวเดินขึ้นไป 5 นาที มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจบัตรอุทยานก่อนขึ้นเกาะด้วย

ภาพจากจุดชมวิว เกาะรอกลอย หลีเป๊ะ
น้ำใส เกาะรอกลอย หลีเป๊ะ





















เกาะลิง/อ่าวลิง

มีลิงเยอะบนเกาะ ฝรั่งชอบไปดูลิง คนไทยให้ไกด์ว่ายน้ำลากไปดูปะการัง ก็เห็นนีโม สภาพใต้น้ำไม่ต่างจากเกาะดง

เกาะราไว/หาดทรายขาว

เหมือนเรือทุกลำจะมาพักกินข้าวเที่ยงที่นี่ มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำหลายห้อง เขาแจกอาหารกล่อง
พร้อมผลไม้ ให้เวลาถ่ายรูปพักชั่วโมงนิด ๆ

สวยงาม เลอค่า หาดราไว หลีเป๊ะ






เกาะอาดัง อ่าว2

ลงดำมีปลาตัวใหญ่ ๆ กลุ่มปะการังกว้างหลายโซน เจอปลาฤาษีด้วย


เกาะยาง

แรงเริ่มหมด ไกด์ให้ฟองน้ำมีเชือกพาลากไปดูกุ้งมังกร Lobster เห็นแค่หนวดกับส่วนหัว หลบอยู่ในรู เขาบอกนางขี้อาย เจอปลาดาวมงกุฎด้วย ไกล์บอกนาน ๆ เห็นที


เกาะหินงาม

เป็นเกาะที่มีหินสีดำ ไกล์ขอถ่ายรูปรวมที่นี่ จากนั้นแวะไปดำน้ำหลังเกาะนี้ ปลากับปะการังใหญ่ ๆ หลายจุด สวยมากเช่นกัน

เกาะหินงาม หลีเป๊ะ



เกาะหินงาม หลีเป๊ะ
ร่องน้ำจาบัง

ช่วงที่ไปเป็นวันหลังขึ้น 15 ค่ำ พี่เขาบอกว่าน้ำขึ้นสูง น้ำแรงมีแตนทะเลเยอะ มันรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ
ตั้งแต่เกาะยางแล้ว ดีนะที่ใส่เสื้อแขนยาวกางกางขายาวมา แต่ก็มีเจ็บจี๊ดบ้างเหมือนกัน
ร่องน้ำจาบังเป็นไฮไลท์การดำน้ำที่หลีเป๊ะเลย  น้ำแรงมากต้องเกาะเชือกลอยไต่ไล่ ๆ กันไป ไม่งั้นโดนน้ำพัดออกไปไกลแน่ ๆ เจอกลุ่มปะการัง 7 สี สวยมากกกกกกกก..... 2-3 จุดใหญ่ ๆ 
แตนทะเลก็เยอะรู้สึกแสบหน้าเลย คนที่ใส่กางเกงขาสั้นมาจะดำนานไม่ได้ ทนไม่ไหว


ขากลับเรือมาจอดถึงหาดพัทยาประมาณ 4 โมงเย็น เห็นเลยว่าหาดนี้มีเชือกกั้นไว้ให้เล่นน้ำ 2 จุดใหญ่ ๆ
สีน้ำทะเลใสมาก ลงจากเรือเลยไปเล่นน้ำที่หาดต่อ เห็นมีฝรั่งครอบครัวพ่อแม่ลูก นอนบนเบาะลอยน้ำอาบแดดอยู่  เลยทำเนียนเอาเป้ รองเท้า ผ้าคลุมวางไว้ ใกล้ ๆ กับของ ๆ เค้า แล้วลงเล่นน้ำ ก็มองมาที่ของวางไว้เป็นช่วง ๆ ก็ไม่เห็นมีใครสนใจ มายุ่งของเราเลย ทุกคนมาเที่ยวเดินผ่านมาผ่านไป ไม่มีใครขโมยของเราหรอก...
สักพักมีเรือหางยาวมาจอดใกล้ ๆ คุ้นหน้าผู้ชายบนเรือมาก อ่อ...น็อตกับกวาง กมลชนก พาลูกสาวลูกชายมาเที่ยว น่าจะกลับจากทริปดำน้ำ ดูนางสวยมากหุ่นดี

สระน้ำส่วนตัวแบบธรรมชาติ หาดพัทยา หลีเป๊ะ
เชือกกั้นไว้ให้เล่นน้ำ หน้าหาดพัทยา หลีเป๊ะ
ว่ายน้ำไปมาสักแปบ มีน้องผู้หญิงใส่ทูพีชลงมาเล่นด้วย เพื่อนนางนั่งรอริมหาดบอกกลัวดำ ก็คุยกันเล็กน้อย นางบอกว่าเรียนโทอยู่จีน ช่วงนี้กลับบ้านเลยจัดทริปนี้ นางก็ชอบแบ็คเพ็คเที่ยวมาแล้วหลายที่เหมือนกัน เล่นน้ำไปสักครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นหาดเดินกลับที่พัก ผ่านถนนคนเดินพอผ่านร้านบังรูน เจ้าหน้าที่ขายตั๋วจำเราได้ ถามว่าเป็นไงบ้างวันนี้ดำน้ำสนุกมั้ย - ก็ยิ้มให้ โอเคค่า  

กลับห้องอาบน้ำแต่งตัว นั่งเล่นที่ที่นอนตากแอร์เย็น ๆ ทาครีมไป สาวฝรั่งเตียงข้าง ๆ เปิดม่านออกมาเหมือนนางเพิ่งตื่น เลยทักทายคุยกัน ชื่อไมย่า สาวสวีเดน เรียนจบทำงานได้ปีเดียวเก็บตังค์มาเที่ยวเอเชีย 3 เดือน ไปอินโด มาเล แล้วมาไทย มีเวลาเหลืออีก 3 อาทิด ถามว่าจะไปไหนต่อ นางว่าไม่รู้ อาจเป็นภูเก็ตหรือที่ไหนสักที่ อืมหยุดงานยาวดีจริงๆ ถามนางไม่ไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์หรอ
นางบอกแพง...จ้า...งั้นถูก ๆ ก็ เว้วค่ำทูไทยแลนด์นะถูกแล้ว555 นางก็น่ารักชวนคุยไปรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง
(จากเสียงซาวด์แทรคน่ากลัวในคืนแรก กลายเป็นสาว friendly ในเย็นวันที่ 2 มันรู้สึกดีจริง ๆ...)

วันสุดท้ายที่เกาะ

ตั้งใจตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หาดซันไรส์ ไม่พลาดบรรยากาศดีจริง ๆ แฮปปี้มาก ขอบคุณตัวเองที่พาร่างมาเที่ยวพักผ่อนได้แบบนี้ 

หาดซันไรส์ หลีเป๊ะ

ความสุข ทะลุตา
หาดอันดามัน ซันไรส์

หาดอันดามัน ซันไรส์

หาดอันดามัน ซันไรส์

หาดอันดามัน ซันไรส์


ขามาเดินผ่านรีสอร์ท ขากลับเดินผ่านบ้านพักของชาวเกาะที่ส่วนใหญ่ทำประมง ออกเรือพาเที่ยว ทำงานร้านอาหาร อยู่กันแบบเรียบง่ายในพื้นที่เล็ก ๆ หลังรีสอร์ท 
ถึงที่พักพร้อมข้าวเหนียวไก่ทอด กลิ่นดีเกิ๊นไม่กล้าเอาไปกินห้องรวมมันเปิดแอร์ เกรงใจคนอื่นเขาเดี๋ยวจะหิวด้วย เลยมานั่งกินหน้าเคาเตอร์ มีน้องพนักงานว่างอยู่เลยมานั่งคุยด้วย เล่าว่าเจ้าของโรงแรมเริ่มต้นจากศูนย์ตั้งแต่เกาะนี้ไม่มีอะไรเลย เขามานอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างตึกนี้ (ไม่ยอมตัด) จนขายของเก็บเงิน ตั้งตัวได้เปิดโรงแรมจนทุกวันนี้ เราก็ชมไปว่าห้องพักโอเค ราคาถูก สะอาดดี ฝรั่ง 95% จีน 3% แทบไม่เจอคนไทยเลย เห็นแต่คนทำความสะอาด (คนใต้ชาวเกาะ คอยกวาดพื้น ถูพื้น ทำความสะอาดห้องน้ำทุกชั่วโมงเลย สะอาดมาก ปรบมือรัว ๆ) น้องเขาว่าฝรั่งหนีทัวร์จีนรีสอร์ทหรูริมหาดมาพักที่นี่555
เม้ามอยสักพักก็กลับห้องเก็บของ ต้องเช็คเอาท์ก่อน 10.30 น. หลังจากนั้นเรานั่งพักที่ห้องรวมได้ถ้ายังไม่ถึงเวลาเรือขากลับ เช็คเอาท์เสร็จก็อยู่ห้องรวม เล่นเน็ต นอนพักแป๊บ กินมาม่าขนมเป็นมื้อเที่ยง ออกจากโรงแรมเที่ยงกว่า กะเวลาเรือมาบ่ายโมงครึ่ง ถึงหาดพัทยาบ่ายโมงรอขึ้นเรือหางยาวเพื่อไปที่โป๊ะกลางทะเล รอเรือสปีดโบ๊ทลำใหญ่มารับอีกที 


ออกจากเกาะด้วยเรือหางยาวของชาวประมง แบ่งรายได้ให้เจ้าของพื้นที่บ้าง

วิวจากโป๊ะกลางทะเล หาดพัทยา(บันดาหยา) เกาะหลีเป๊ะ

หาดพัทยา(บันดาหยา) เกาะหลีเป๊ะ

ความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเราไปเที่ยวคนเดียว

คิดไรก็ลองทำเลย ไม่ต้องรอถามใครว่าเห็นด้วยมั้ย

ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมื่อคนอื่นรู้ว่า มาคนเดียวหรอ...
(คนรับฝากรถ, ร้านข้าว, พนักงานโรงแรม...)

ชิลอยู่กับตัวเอง เพิ่มความคิดสร้างสรรค์

รู้จักผิดพลาด หลงบ้าง มีความกล้าพร้อมเรียนรู้ไปเส้นทางใหม่ ๆ 

เปิดใจ พร้อมคุยกับเพื่อนร่วมห้องชาวต่างชาติ, คุยกับคนแปลกหน้าเยอะ
บางคนทำมาหากิน, บางคนมาเที่ยว จริง ๆ ก็มีคนใจดีอีกเยอะบนโลกใบนี้

รู้สึกอิสระ มีความสุขแบบลึกซึ้ง รู้สึกขอบคุณตัวเอง จิตใจสงบ สบาย 
ไปเที่ยวคนเดียว รู้สึกดี ชักจะชอบ ติดใจน่าไปอีก....