เมื่อไหร่เราควรลาออกจากงานประจำ

ขอบคุณหนังสือ "ตำราก่อนลาออก"
โดย "คุณพูม ชินโชติกร" 


feel free


เมื่อไหร่ดีที่เราควรลาออกจากงานประจำ ?
ตอบง่าย ๆ เลย "เมื่อพร้อม" แล้วเราจะรู้ได้ยังไง แค่ไหนคือพร้อม...
หนังสือเล่มนี้ บอก 10 อาการ ของคนที่ยังไม่พร้อมที่จะลาออกจากงานประจำ 
จะขอบอกแค่ 5 อาการของเราเอง ที่เหลือลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูนะ

อาการแรก "ไม่มีเงินเก็บเลยสักนิด ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน"
จริง ๆ เราก็มีออมกับกบข.นะ แต่มันไม่ใช่เงินที่จะดึงมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ไง 
ถ้าเงินใช้กินใช้จ่ายปกติยังไม่ค่อยจะพอ แล้วยังลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจ
เราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจล่ะ มันต้องใช้เงินจำนวนนึงอยู่แล้ว 
ในช่วงระยะเวลานึงด้วยกว่าธุรกิจจะนิ่งจนได้กำไร
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเงินก้อนใหญ่ ๆ ก้อนนึง คงรอดยาก

อาการที่สอง "ไม่เคยมีรายได้จากทางอื่นเลย"
อันนี้ก็ชัดนะ ถ้ารายได้หลักมาจากทางเดียว คือ งานประจำ ลาออกไปก็ไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเองเลย

อาการที่สาม "มีเพื่อนรายล้อมด้วยมนุษย์เงินเดือนทั้งนั้น"
การอยู่ในสังคมมนุษย์เงินเดือน อาจจะทำให้มองว่าลาออกไปทำธุรกิจ มันยาก มันเป็นไปไม่ได้ ก็เพราะเราไม่เห็น ไม่รู้จักคนที่เขาทำธุรกิจได้ซึ่งมันก็มีอยู่ ไม่ได้ไปศึกษาว่าเขาคิด เขาทำยังไง 

อาการที่สี่ "อิจฉาคนที่ประสบความสำเร็จ อิจฉาคนที่รวยกว่า"
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จไม่รู้สึกอิจฉานะ ชอบด้วยซ้ำ
แต่สำหรับคนที่รวยกว่าจะรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบ  เมื่อก่อนเราคิดไปเองว่า คนรวยมาก ๆ ต้องเครียด ต้องลำบาก ดิ้นรนหาเงินไว้เยอะ ๆ เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งตาย ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลานแย่งกันอีก 
เฮ้ย เราไม่อยากเป็นอย่างนั้นไง แต่ก็ไม่ใช่คนรวยมาก ๆ ทุกคนจะเป็นแบบนี้ แค่ส่วนใหญ่ ฮา...  
มาวิเคราะห์ตัวเองที่หลังว่า เราแค่ยึดติดกับความคิดผิด ๆ อ่ะ คนรวยเขาไม่ผิดหรอก เพราะเป้าหมายในชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราเองที่ผิดที่มีความกลัว ไม่กล้าเรียนรู้ หรือลองเริ่มทำอะไร ๆ ใหม่ ๆ มากกว่า จะเป็นคนรวยมาก ๆ ได้ มันต้องมี passion เป้าหมายต้องชัด ไม่งั้นทำไม่ได้หรอก

อาการสุดท้าย "เม้าท์ โม้ นินทาคนอื่น ๆ เลื่อยขาคนอื่นวัน ๆ "
เพราะความคิดที่ว่า "เรื่องไร้สาระคือสาระของชีวิต" บางครั้งเลยใช้เวลาส่วนนึงเม้าท์คนโน้นคนนี้บ้าง ขำๆ สร้างเสียงหัวเราะไง โดยเฉพาะเม้าท์เรื่องหัวหน้าเนี่ย สนุก... หรือใช้เวลาส่องเฟสชาวบ้าน ไปกินที่ไหนทำอะไรกันบ้าง ดูข่าววงการบันเทิงอัพเดทตลอดๆ ซึ่งเสียเวลามาก ไม่ได้อะไรนอกจากขำไปวันๆ รู้แต่เรื่องดารา สำหรับการเลื่อยขาคนอื่นนั้น ทำไม่เป็นนะ ไม่สามารถ...ไม่ได้เป็นคนที่โหดร้ายและอยู่ในสังคมแบบนั้น

นอกจากอาการที่ทำให้ต้องวนเวียนทำงานประจำลาออกไม่ได้แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังบอกวิธี "สร้างล้านแรก" ไว้ด้วยนะ ผู้เขียนอธิบายยกตัวอย่างง่าย ๆ เลย เริ่มจากขายของกำไรชิ้นละ 1 บาท ก็แค่ขายให้ได้ล้านชิ้น ก็ได้ล้านแรกแล้ว แต่ถ้าเลือกขายสินค้าราคาสูงขึ้น จำนวนชิ้นที่ต้องขายให้ได้ก็จะลดลง อาจเลือกขายสินค้าที่ราคาสูงและได้กำไรหลายเท่าตัว แต่เราก็ต้องดูว่าสามารถเข้าถึงลูกค้าระดับนั้นมั้ย มีคู่แข่งหรือเปล่า ถ้าเลือกขายสินค้าตามกระแส หากกระแสตกแล้วจะทำยังไง
สุดท้ายผู้เขียนแนะนำ "วิธีสร้างล้านแรกสำหรับมนุษย์เงินเดือน" ให้ด้วย เริ่มแค่ว่าอยากมีล้านแรกภายในเวลาเท่าไหร่ ถ้าต้องการภายใน 5 ปี ก็ให้เอา 1,000,000 บาท/60 เดือน แปลว่าคุณต้องมีเงินเก็บ (รายได้หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว) เหลือเดือนละประมาณ 17,000 บาท
ผู้เขียนบอกไว้ว่ามักจะได้ยินคนบ่นให้ฟังเสมอ ๆ ว่าเก็บเงินไม่ได้ ถึงแม้จะมีเงินเดือนหลักแสนก็ตาม เป็นเพราะมีภาระค่าใช้จ่ายมากจึงไม่ค่อยเหลือเก็บหรอก แต่สำหรับบางคนที่มีเงินเดือนหลักหมื่นแล้วรู้จักใช้จ่ายอาจมีเงินเหลือเก็บต่อเดือนมากกว่าคนเงินเดือนหลักแสนด้วยซ้ำไป

หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เราก็มี passion ที่จะลด ละ 5 อาการที่ว่า และตั้งเป้าหมายสร้างเงินล้านแรกให้ได้ ด้วยการออม 15% กับกบข. ลองเรียนรู้ทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทักษะใช้หารายได้หลาย ๆ ทาง เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมของคนที่เขาทำล้านแรกได้ สิบล้าน ร้อยล้านได้ พยายามศึกษาวิธีคิดและการลงมือทำของเขา สุดท้ายตั้งเป้าหมาย เก็บเงินเดือนละ 10,000 บาท 100 เดือน (8 ปี 4 เดือน) ก็จะได้ล้านแรก แต่จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ถึง 8 ปีก็ได้นะ อยู่ที่ว่าเดือนละหมื่นเราเอาไปเก็บยังไงทำให้มันงอกเงยได้หรือเปล่า อีกหนึ่งตัวช่วยหลักในการสร้างล้านแรกให้เร็วขึ้น คือการหารายได้ให้ได้หลาย ๆ ทางนั่นเอง

commitment and do it right now !!!






2 ความคิดเห็น:

  1. เอาใจช่วย และเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะคะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากนะคะ จะลงมือทำอย่างที่เขียนค่ะ

    ตอบลบ