สิ่งที่ได้เรียนรู้ จากการไปเที่ยวเมืองนอก

ได้ไปเที่ยวมาเลเซีย สิงคโปร์กับทัวร์ รถบัส (40 คน) ออกจากหาดใหญ่
เที่ยว 4 วัน 3 คืน เน้นเที่ยวสิงคโปร์ 2 วันเต็ม แวะมานอนที่มาเลย์ 3 คืน นั่งรถขาไปและขากลับรวม 2 วัน






ประสบการณ์ครั้งนี้ให้อะไรบ้าง
1. ความรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ ๆ ที่เห็น
- ถนน ปั้มน้ำมัน ห้องน้ำ
- สภาพบ้านเรือน ต้นไม้ คนทำงาน (ช่างทำ/ซ่อมถนนริมทาง)
- รถยนต์ สภาพจราจร สีหน้าท่าทางของผู้คน

2. เพิ่มทักษะการเอาตัวรอด
- เพื่อสั่งอาหาร ซื้อของ
- ถามทาง, เดินเที่ยว

3. เพิ่มทักษะช่างสังเกต
- เมื่อเราเห็นความแตกต่างของผู้คน อาคาร สิ่งของเครื่องใช้ อาหารการกิน สาธารณูปโภคต่าง ๆ
  เทียบกับบ้านเราแล้ว มันเห็นข้อได้เปรียบ ข้อจำกัด ของเขาและเรา












4. รู้จักคุณค่าความสะดวกสบายในการกินอยู่ของบ้านเรา
- เพราะทรัพยากรบ้านเรามีมากมาย หลากหลาย ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย ราคาไม่แพงมาก

5. เปิดใจยอมรับความแตกต่างของคน หลายเชื้อชาติ หลายวัฒธรรม ที่อยู่ร่วมกัน เรียนรู้มารยาทการใช้ของส่วนรวมในแหล่งท่องเที่ยวร่วมกัน

6. เรียนรู้ว่า อยู่ที่ไหนก็ไม่อุ่นใจเท่าบ้านเรา ประเทศที่เราเกิด เป็นความรู้สึกล้วน ๆ ที่ใช้เหตุผลอธิบายไม่ได้



ถ้าเรามองในภาพกว้างขึ้น เราอาศัยอยู่ในโลกนี้เหมือนกัน ทุกที่บนโลกใบนี้ก็เป็นบ้านของทุกคน
ไม่ว่าใครจะทำอะไร ย่อมส่งผลกระทบทั่วถึงกันทั้งหมด รับผิดรับชอบจากผลลัพธ์ในการกระทำร่วมกัน
โลกจะอยู่ได้ยาวนาน น่าอาศัยอยู่มากขึ้นหรือน้อยลงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน 


12 บทเรียนชีวิต ข้าราชการพลเรือน 7 ปี

หลังจากเรียนจบป.ตรี ฉันทำงานในภาคเอกชนมาก่อนหลายปี จากนั้นจึงสอบและได้บรรจุเป็นข้าราชการพลเรือน ตั้งแต่ 26 กันยายน 2555 จนวันนี้ 27 กันยายน 2562 ครบ 7 ปีแล้ว...(เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ)

ด้วยประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ด้วยความผิดพลาดมากมายที่ได้เรียนรู้ในภายหลัง
ทำให้เข้าใจว่า คนเรามีทัศนคติในการทำงานและใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะอาชีพ วัย สถานการณ์ที่เราเจอ มันจะค่อย ๆ หล่อหลอมให้เรา เป็นเราอย่างทุกวันนี้ ค่อย ๆ เปลี่ยนตัวตน ค่อย ๆ  เรียนรู้ เข้าใจ บางข้อผิดพลาดเราเรียนรู้แล้วไม่พลาดซ้ำ บางเรื่องก็ยังคงก้าวข้ามไม่ได้ อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเรื่องปกติ ยังมีเวลาเสมอสำหรับการค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ในการใช้ชีวิต

วางแผนแต่ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์


12 เรื่อง ที่ฉันได้รับ ปรับเปลี่ยนและเรียนรู้

1. "อุ่นใจ" ข้าราชการไม่สบายกายแค่ไหน ยังไง ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะเข้ารักษาโรงพยาบาลรัฐฟรี เป็นสวัสดิการเบอร์หนึ่งของอาชีพนี้เลย มีบ้างที่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ก็หลักสิบหลักร้อย นาน ๆ ครั้งเท่านั้น

2. "ฝึกความอดทน" การที่เราต้องไปหาหมอรพ.รัฐเท่านั้น เพื่อใช้สิทธิที่มี ทำให้ต้องรอคิวตรวจนานมากจนรู้สึกเคยชินทำให้เราใจเย็นขึ้น และงานส่วนใหญ่ก็มีกรอบ/ระเบียบจากเบื้องบนสั่งมาแล้ว ทำตาม อย่างเดียว อย่าคิดเยอะ พลิกแพลงมากไม่ได้ ยกเว้นขั้นตอนงานที่เกี่ยวกับเราจริง ๆ เท่านั้น

3. "ลดอัตตา" อยู่ในองค์กรใหญ่โครงสร้างบริหารมีลำดับหลายชั้นมาก เราเป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ ส่วนเสี้ยวเดียวเท่านั้น จะพลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ ๆ ตามใจชอบนั้น ทำได้ค่อนข้างยาก ยกเว้นงานนั้นอยู่ในขอบเขตเราเพียงคนเดียว/เพื่อนร่วมงาน เจ้านายในหน่วยงานเล็ก ๆ ของเราเห็นด้วย

4. "ระมัดระวัง ไม่ชัวร์ ไม่ฟันธง" การทำงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ระเบียบซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับประชาชน  ต้องรอบคอบเรื่องคำพูดและการกระทำ เพราะคำตอบสำหรับคำถามเรื่องกฎหมายที่เราตอบเขาไปนั้น บางครั้งมันสามารถตีความได้หลากหลาย หากเราไม่เข้าใจเจตนารมณ์กฎหมายนั้นจริงแล้ว  ไม่ควรตอบคำถามเอง เพราะจะมีความรับผิดชอบผูกติดมาด้วยหากเกิดความผิดพลาด ดังนั้นเมื่อไม่มั่นใจควรส่งต่อให้กลุ่มงานที่เขาออกกฎหมายมาตอบโดยตรงจะดีกว่า

5. "Work Life Balance" มีเวลาทำเรื่องส่วนตัวในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ วันลาพักผ่อน โดยไม่ต้องกังวล/เครียดเรื่องงาน โดยส่วนใหญ่แล้วงานมักจะจบในเวลางาน หากคาบเกี่ยวต่อเนื่องให้รู้สึกต้องกังวลอยู่บ้างก็มีไม่บ่อยครั้งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเรารับผิดชอบบริหารงานในหน้าที่ได้ ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็พักได้อย่างสบายใจ มีเวลาออกกำลังกายเต็มที่หลังเลิกงานด้วย

6. "ฝึกการอดออม" เพราะเงินเดือนตอนเริ่มงานน้อยเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย ต้องบริหารจัดการเรื่องกินใช้ให้สมกับรายได้ ทำให้เราเป็นคนกินง่าย อยู่ง่ายมากขึ้น อาหารจานเดียว ทำกับข้าวมากินที่ทำงาน สรรหาของกินใช้ที่ถูกและดี เลี่ยงการสร้างหนี้สินเกินตัว

7. "ฝึกใจให้นิ่ง สื่อสารกับคนหลากหลายให้ได้" ด้วยงานที่ต้องติดต่อกับคนหลากหลายอาชีพ การศึกษา ฐานะ ต่างหน่วยงาน ถึงแม้ว่าสิ่งที่เราพูดคือสิ่งเดียวกันแต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจเราได้ตรงกันตามที่เราพูด ดังนั้นเราต้องปรับใจ ปรับคำพูด รับฟังคนที่คุยด้วยว่าเขาต้องการอะไร ใช้ภาษาระดับเดียวกับเขาจะช่วยให้เขาเข้าใจและยอมให้ความร่วมมือด้วย

ฝึกเห็นความคิดความรู้สึกตัวเองให้ทัน เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็ไป


8. "รู้จักปล่อยวาง" เมื่อเริ่มบรรจุทำงานเรามักเริ่มในตำแหน่งงานเล็ก ๆ ก่อน ดังนั้นหน้าที่และอำนาจตามตำแหน่งจะไม่เอื้อให้เราสามารถตัดสินใจหรือรับผิดชอบงานใดได้มากนัก เราจึงมักจะเจอสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้เสมอ เกินขีดความสามารถของเราบ้าง จึงทำได้แค่เพียงยอมรับและทำความเข้าใจ/ทำใจ และทำงานในขอบเขตรับผิดชอบของเราต่อไปให้ดีที่สุดก็พอ

9. "รู้จักวางตัวในจุดที่เหมาะสม" ข้าราชการมีการโยกย้ายบ่อยครั้ง เพื่อการเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ ดังนั้นเราจึงเลือกเจ้านาย และเพื่อนร่วมงานที่ถูกใจเราทั้งหมดไม่ได้ สิ่งที่ควรทำคือ รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร รับผิดชอบมันให้ดี หน้าที่ของคนอื่นถ้าไม่เกี่ยวข้องกับเราเลยก็ไม่ต้องไปยุ่งปล่อยเป็นเรื่องของเขา ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ในบางสถานการณ์งานที่ถูกต้องกับถูกใจอาจสวนทางกัน เราต้องคิดให้รอบคอบว่าจุดยืนและความรับผิดชอบเราคืออะไร ผลกระทบต่อเจ้านายและเพื่อนร่วมงานคืออะไร ชั่งน้ำหนักให้ดี ทั้งนี้ต้องรู้จักวิธีป้องกันตัวเองด้วย

10. "เรียนรู้คน ไม่คาดหวังใคร" รู้หน้าไม่รู้ใจ รู้คำพูดการกระทำที่เขาแสดงต่อหน้า แต่ไม่รู้ตอนลับหลัง ดังนั้นเราทำได้เพียงให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติคนอื่นตามมารยาทที่ควรทำ ทำดีกับคนอื่่นตามระดับความดีที่เรามี แต่ไม่คาดหวังว่าเขาจะดีกับเราหรือไม่ การรู้จักสังเกตพฤติกรรมคนในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ ประกอบกับใช้เวลาให้นานพอ จะช่วยให้เราเห็นภาพอะไรชัดเจนมากยิ่งขึ้น

11. "ปล่อยผ่านเรื่องเล็ก ใจจะเบา"
ในสังคมคนทำงาน เป็นเรื่องปกติที่เราจะเจอคนซุบซิบนินทา เข้าใจผิด อิจฉา กลั่นแกล้ง เปรียบเทียบ เอาเปรียบ ไปบ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ เราไม่ควรเสียเวลาและให้ค่ากับคนและเรื่องเหล่านี้ เอาเวลาไปมีความสุข สร้างสรรสิ่งดี ๆ ในชีวิตตัวเองดีกว่า เพราะทุกสถานการณ์ที่เราเลือกทำหรือไม่ทำอะไร จะมีคนคอยตีความทุกการกระทำของเราอยู่แล้ว เขามีสิทธิที่จะคิดเห็นในมุมมองของเขา เราเองก็มีสิทธิคิดและทำในมุมมองของเราเช่นกัน สิ่งสำคัญคือเราต้องมั่นใจว่า เรารู้จักตัวเองดีพอ รู้สิทธิและหน้าที่ของตัวเองว่าคืออะไร ทำถูกต้องและสร้างความเดือดร้อนให้ใครหรือไม่

12. "มองทุกปัญหาให้เป็นโอกาส" เขาจ้างเรามาแก้ปัญหา หน้าที่คือ ไม่บ่น/บ่นให้น้อยที่สุด มองให้เห็นโอกาสและหาทางแก้ไขปัญหาให้เจอ เราจะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ผ่านปัญหาไปได้ อย่าบ่น/ด่าใครพร่ำเพรื่อ เพราะลึก ๆ แล้ว ไม่มีใครอยากฟังคำบ่นคำด่า คำเหล่านี้เหมือนก๊าซพิษมันจะทำให้เราหาทางออกไม่เจอวนติดอยู่กับปัญหา ขอให้ใช้พลังงานและเวลาไปลงมือทำเพื่อแก้ไขปัญหาจะดีกว่า

เมื่อเวลาผ่านไป บทเรียนใหม่จะเพิ่มเข้ามา บทเรียนเก่าก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป...

เมื่อโลกภายในของเราเปลี่ยน โลกภายนอกที่เราเห็นจะเปลี่ยนตาม




สร้างตัวเองในแบบที่คุณอยากเป็น

เราเชื่ออะไร ? เราจะทำตัวแบบนั้น
เราทำตัวแบบไหน ? เราก็เป็นคนแบบนั้น

มันเริ่มที่ "ความเชื่อ"
เมื่อเราเชื่อใน "คุณค่า" ไหน เราจะแสดง "ศักยภาพ" นั้นออกมาทางความคิด คำพูดและการกระทำ

คุณค่าอาจจะวัดและเข้าใจได้ยาก
หากเปลี่ยนเป็นคำว่า "ลักษณะนิสัย หรือพฤติกรรม" ใด ๆ ที่เราทำเป็นประจำ
นั่นคือสิ่งที่จะบอกเราว่า เราให้คุณค่าในเรื่องใด

นิสัย คือ สิ่งที่เรามักจะใช้รับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ทั้งภาวะปกติและวิกฤติ
ทั้งเรื่องสำคัญและไม่สำคัญ

นิสัยหรือคุณค่า มีอะไรบ้าง เราลองเลือกมา 10 อันดับแรก ที่คิดว่าสำคัญที่สุด

มีความยืดหยุ่น                 มีคุณธรรม           มีความซื่อสัตย์
มีความคิดสร้างสรรค์        มีความมุ่งมั่น       มีความเป็นมิตร
ตลก                                 สุขุม                    มองโลกในแง่ดี
ตัดสินใจเด็ดขาด             เข้าสังคมเก่ง       รักครอบครัว
ขยัน                                 มีชีวิตชีวา            มีวุฒิภาวะ
ร่าเริงเบิกบาน                  พึ่งพาได้              เป็นผู้ให้
ทันสมัย                            ไว้ใจได้               เป็นที่รัก
ทำงานหนัก                     ช่างเจรจา            แก้ไขปัญหาได้
แสวงหาความรู้                เอาใจใส่ดูแล      เป็นที่ชื่นชอบ

สร้างตัวเอง เราควบคุมได้เอง100% 


สำหรับฉัน 10 นิสัย ที่ให้คุณค่ามากที่สุด เรียงตามลำดับคือ
1. มองโลกในแง่ดี
2. มีความซื่อสัตย์
3. มีความมุ่งมั่น
4. รักครอบครัว
5. มีชีวิตชีวา
6. แสวงหาความรู้
7. ขยัน
8. สุขุม
9. มีความคิดสร้างสรรค์
10. ตลก

เราสามารถนำหรือสร้างนิสัย 10 อย่างที่เลือกแล้ว ไปใช้กับสิ่งสำคัญของชีวิตทั้ง 8 ด้านได้

1. ด้านกายภาพ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..........................ทำให้ฉันมีสุขภาพที่ดี มีชีวิตยืนยาว อยู่ได้อย่างมีคุณภาพ

2. ด้านอารมณ์
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..........................ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ด้วยความรัก ความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา

3. ด้านจิตวิญญาณ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..........................ทำให้ฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง สอดคล้องกับศาสนา

4. ด้านครอบครัว
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..........................ทำให้ฉันทำความเข้าใจคนในครอบครัว ช่วยให้ความฝันของเขาเป็นจริง

5. ด้านวัตถุ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..........................ทำให้ฉันอยู่ได้ด้วยทรัพย์สินที่ฉันหาได้เอง สร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับครอบครัว

6. ด้านการเรียนรู้
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..........................ทำให้ฉันแสวงหาความรู้ตลอดชีวิต

7. ด้านการเป็นผู้นำ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..........................ทำให้ฉันมีลักษณะของผู้นำ 3 อย่าง คือ
พูดความจริง ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้เกิดผลงาน

8. ด้านความสัมพันธ์อื่น ๆ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..........................ทำให้ฉันมีความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น และคงอยู่ตลอดชีวิต

สำหรับฉัน
1. ด้านกายภาพ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..มีชีวิตชีวา และตลก..ทำให้ฉันมีสุขภาพที่ดี มีชีวิตยืนยาว อยู่ได้อย่างมีคุณภาพ
2. ด้านอารมณ์
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย...มองโลกในแง่ดี และมีความคิดสร้างสรรค์...ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ด้วยความรัก ความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา
3. ด้านจิตวิญญาณ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย..สุขุม และมีความซื่อสัตย์..ทำให้ฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง สอดคล้องกับศาสนา
4. ด้านครอบครัว
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย...รักครอบครัว...ทำให้ฉันทำความเข้าใจคนในครอบครัว ช่วยให้ความฝันของเขาเป็นจริง
5. ด้านวัตถุ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย....มีความมุ่งมั่น.และขยัน..ทำให้ฉันอยู่ได้ด้วยทรัพย์สินที่ฉันหาได้เอง สร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับครอบครัว
6. ด้านการเรียนรู้
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย....แสวงหาความรู้....ทำให้ฉันแสวงหาความรู้ตลอดชีวิต
7. ด้านการเป็นผู้นำ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย....มีความซื่อสัตย์ และสุขุม...ทำให้ฉันมีลักษณะของผู้นำ 3 อย่าง คือ
พูดความจริง ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้เกิดผลงาน
8. ด้านความสัมพันธ์อื่น ๆ
ฉันจะสร้าง/ใช้นิสัย....มีชีวิตชีวา มองโลกในแง่ดี และตลก..ทำให้ฉันมีความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น และคงอยู่ตลอดชีวิต

เป้าหมายในชีวิตเราคืออะไร?  หาคำตอบได้จาก 3 คำถามนี้

1. คุณมีชีวิตอยู่เพื่อ "อะไร" ?

2. คุณอยู่บนโลกใบนี้เพื่อ "เป็นใคร และทำอะไร" ?

3. "อะไร" ทำให้ชีวิตคุณมีความหมาย ?

Focus on what you want.


สำหรับฉัน
ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อ "ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น"
ฉันเป็น "คนยิ่งใหญ่ นำตัวเองให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง สร้างอิทธิพลเชิงบวกต่อผู้อื่น"

แล้วคุณล่ะ มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร ?



Today is a present.





Today...
When I wake up, I smile. "I'm breathing so it's a present."
I get up, have a shower and get dress. "I can do by myself so it's a present."
I leave the house, drive my car to the office. "I have a good meal for breakfast so it's a present."
I get to the office on time, start my work and have good communication with my colleagues so it's a present.
I can decide and set priority for my work, have a short break for tea time before lunch. It's a present.
I have lunch at the office with my team. We share stories in or out of work together. It's a present.
I have time to read books, watch YouTube, play Facebook after lunch. I have a short break in the afternoon. It's a present.



I finish my work on time and get a new dress to work out at the stadium in front of my office.          It's a present.
I walk slowly and fast. I take a long breath and have mindfulness. It's a present.
I get to the house, read books, watch YouTube, pray before going to bed.
I call my family and they are fine. Thank you. It's a present.

I live in only today. Today is a present.



 

เปลี่ยนตัวเองจาก "คนที่ใช้จ่ายเดือนชนเดือน" เป็น "คนที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป"

มันเริ่มมาจากการอ่านหนังสือ ดู YouTube ฟัง Podcast เกี่ยวกับการเงิน การลงทุน และความสำเร็จ
อันไหนที่คิดว่าดีก็ขีด ๆ เขียน ๆ เอาไว้ แล้วเอาไปลองลงมือทำ ถ้าอันไหนเราทำได้ดีก็จะทำต่อไปจนติดเป็นนิสัย (ทำทุก ๆ วัน ๆ ละนิด) อันไหนไม่เวิร์คก็หยุดทำ



สิ่งที่เราเสพ(ดู ฟัง) สิ่งที่เราลงมือทำในทุก ๆ วัน มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเราเป็นคนใหม่ไปเอง
หลัก ๆ คือเมื่อเราเริ่มลงทุนเวลา ศึกษาหาความรู้ ลงทุนสร้างประสบการณ์ให้ตัวเองด้วยการตัดสินใจแล้วลงมือทำ ผลลัพธ์ที่เราได้ คือ เราจะมีความรับผิดชอบ มีวินัยเรื่องการเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ มีสติในการใช้จ่าย พัฒนาตัวเองให้มีความสามารถและคุณค่าสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้นจนเป็นเหมือนกุญแจไปไขเปิดประตูรายได้บานอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มรายได้ใหม่ให้กับเรา มีการวางแผนการลงทุนต่อยอดเงินก้อน (เงินออมเล็ก ๆ น้อยๆ ที่กันเก็บไว้ในทุก ๆ เดือน) เลิกซื้อหวย เลิกซื้อล็อตเตอรี่ (จริง ๆ แล้วซื้อนาน ๆ ครั้ง ยอดไม่เกิน 200) เก็บเงินตามเป้าหมายที่วางไว้ไปเรื่อย ๆ ทำไปพร้อม ๆ กันได้ เรียงตามลำดับความสำคัญ เงินก้อนที่ต้องมีตามลำดับการใช้ ดังนี้

1. เงินสำรอง ไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน
เก็บให้ได้ 6  เท่าของค่าใช้จ่ายในปัจจุบันต่อ 1 เดือน
ควรเก็บเงินก้อนนี้ในที่ที่มีสภาพคล่อง เอาออกมาใช้ได้โดยไม่ใช้เวลานานหรือยุ่งยากมาก
ของเราเก็บในกองทุนรวมตลาดเงินกับกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำ (ขายวันนี้ พรุ่งนี้เงินเข้าบัญชี)

2. เงินไว้ใช้ตอนเกษียณ
อันนี้ต้องคิดก่อนว่าจะเลิกทำงานประจำที่อายุเท่าไหร่ มีชีวิตอยู่หลังจากนั้นอีกกี่ปีและใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ (คิดถึงเงินเฟ้อด้วย) เราคิดและคำนวณแล้ว ได้ยอดเงินก้อนนี้ที่ประมาณ 4.6 ล้าน
การสร้างเงินก้อนนี้เราใช้วิธีหักเงินเดือนเข้ากองทุนกบข.(ของข้าราชการ) เต็มที่ 15 % ของเงินเดือนทุกเดือน และรัฐสมทบให้อีก 3% รวมมีเงินเก็บเพื่อใช้ลงทุนก้อนนี้ไม่ต่ำกว่า 18% ของเงินเดือนทุกเดือน เก็บยาวไปอีก 20 ปี เลือกแผนลงทุนแบบสมดุลตามอายุ คือให้ผู้จัดการกองทุนเอาเงินเราไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงหน่อยระยะแรก ๆ เพราะอายุยังน้อย มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แล้วค่อยลดสัดส่วนความเสี่ยงลงตามอายุที่มากขึ้น เพื่อรักษาเงินก้อนใหญ่ไว้ตอนใกล้เกษียณ ช่วง 2 เดือนแรกที่ปรับหักเต็มแมกซ์ 15% มันก็จะไม่ชิน แต่หลัง ๆ เราก็จะปรับตัวเรื่องกิน ใช้ เที่ยว ให้ลดลงตามยอดเงินเข้า แล้วสุดท้าย มันก็อยู่ได้และชินไปเอง เงินที่ไม่เห็น (ไม่เข้ามาในบัญชี) เราจะไม่ได้ใช้ ลืม ๆ ไป

3. เงินเพื่อความมั่งคั่ง
เงินก้อนนี้จะช่วยเพิ่มอิสรภาพในการใช้ชีวิต ถ้าเรามีเงินกินใช้พอเพียงตามแบบที่เราพอใจแล้วล่ะก็เราก็จะสามารถเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรเวลาไหนก็ได้  ซึ่งแต่ละคนคาดหวังความมั่งคั่งที่ระดับต่างกัน เงินก้อนนี้สำหรับเราคิดว่าจะค่อย ๆ สร้างห่านทองคำ(เงินลงทุนก้อนใหญ่) ขึ้นมาให้ได้ก่อนซึ่งต้องอาศัยเวลาระยะยาว แล้วค่อยเก็บไข่ทองคำ(ผลตอบแทนที่ได้จากเงินก้อนใหญ่) กินทีหลัง โดยไม่ไปแตะต้องห่านทองคำเลย(เก็บสะสมไปเรื่อย ๆ โดยไม่ดึงออกมาใช้) ปล่อยให้มันทำงานของมันไป
เราจะสร้างห่านทองคำ เป็นพอร์ตหุ้นเน้นลงทุนระยะยาว ตอนนี้เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงเดือน ใช้เงินไม่มาก 2หมื่นปลาย ๆ (นี่ก็มาจากการเก็บเล็กเก็บน้อยรายได้ยิบย่อย 6 เดือน) แต่ก่อนจะเปิดพอร์ตหุ้นจริง ๆ เราลงทุนเวลา ศึกษาด้วยตัวเองประมาณ 2ปีกว่า ๆ จนตอนนี้คิดว่าต้องลงมือทำจริงแล้ว คิดเองเลือกหุ้นรายตัวเอง วางแผนเองว่าจะขายเมื่อขาดทุนที่เท่าไหร่ จะซื้อหุ้นตัวไหนที่ราคาเท่าไหร่ มีเป้าหมายการลงทุนและหลักเกณฑ์การซื้อขายของตัวเองชัดเจน ไม่เล่นแบบเก็งกำไร

กว่าจะมีแนวทางการเงินการลงทุนอย่างทุกวันนี้ เราอยากขอบคุณและแบ่งปันช่องทางความรู้ต่าง ๆ เผื่อใครสนใจลองลงทุนเวลา เข้าไปเรียนรู้ดูค่ะ นิสัยและวินัยที่ดีไม่ได้สร้างภายในเดือนเดียว มันสร้างจากการตัดสินใจ ลงมือทำและเรียนรู้ แล้วก็ตัดสินใจ ลงมือทำและเรียนรู้อีกครั้ง วนไป...เรื่อย ๆ ทุก ๆ วัน



รายการหนังสือ
พ.ค. 2560 (เวลาที่ซื้อหนังสือมาอ่าน)
- ออมในหุ้น ผู้เขียน ภาววิทย์ กลิ่นประทุม สำนักพิมพ์ Stock2morrow
- มือใหม่เริ่มลงทุนในหุ้น ผู้เขียน Tactshool สำนักพิมพ์ พราว
พ.ย. 2560
- ตำราก่อนลาออก ผู้เขียน พูม ชินโชติกร สำนักพิมพ์ You2morrow
เม.ย. 2561
- วิธีคิด วิธีรวย หมาน้อย สอนรวย แปลจากภาษาเยอรมัน (อันนี้ดีมาก) ผู้เขียน โบโด เชฟเฟอร์ ผู้แปล เจนจิรา เสรีโยธิน สำนักพิมพ์ BE MEDIA Self Development
- วิธีสร้างอิสรภาพทางการเงิน มีเงินล้านใน 7 ปี ผู้เขียน โบโด เชฟเฟอร์ ผู้แปล เจนจิรา เสรีโยธิน สำนักพิมพ์ BE MEDIA Self Development
มิ.ย. 2561
- The Jitta WAY วิถีจิตตะเพื่อการลงทุนเน้นคุณค่า ผู้เขียน ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ อำนวยการผลิต ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เว็บไซต์
- www.set.or.th ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- www.settrade.com
- www.jitta.com (โดยเฉพาะ Menu > Library > Jitta Classroom > 9 บทเรียนออนไลน์ฟรี อันนี้ดีมาก)

เพจ
- Paual Pattarapon
- ลงทุนแมน
- ไปให้ถึง 100 ล้าน
- Vitamin หุ้น
- Stock tomorrow
- นิ้วโป้ง Fundamental VI
- rich-habits นิสัยรวยสร้างได้
- บัณฑิต อึ้งรังสี
- ทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่

Podcast
- The Standard, The Money Case, The Secret Sauce, Super productive
- Mission to the moon

Line
- Line today money

YouTube
- Money Matters by Paul Pattarapon
- The Money Coach
- Kim Property
- Alux.com
- Blue O'clock
- A-Academy Channel
- คุยการเงินกับที
- Human&Tech by May

เงินเป็นเพียงตัวกลางที่บอกถึงคุณค่าและประโยชน์ที่เจ้าของเงินสร้างให้ผู้อื่นได้
เงินจะช่วยขยายตัวตนของเจ้าของเงินให้ชัดเจนขึ้น
เงินจะอยู่กับคนที่เห็นคุณค่าและดูแลมันได้เป็นอย่างดี










10 บทเรียนที่ฉันรู้...เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน

เนื่องจากเป็นการกลั่นกรองจากประสบการณ์ส่วนตัวรวมทั้งการสังเกตชีวิตผู้คนรอบข้าง
อาจเป็นบทเรียนที่ฉันรู้และเข้าใจอยู่เพียงคนเดียว ลองพิจารณาตามดูแล้วกันค่ะ
ไม่แน่ว่าบางประโยคอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ไม่เคยเจอประสบการณ์ อย่างที่ฉันได้ผ่านมันมาแล้ว



1. อยากใช้ชีวิตปกติสุข ให้รักษาศีล 5
เพราะศีล 5 คือ การปิดโอกาสที่จะไปเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตใด ๆ ด้วยคำพูดและการกระทำ
เราจึงใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ไปไหนไม่ต้องกลัวอันตรายจากสิ่งใด

2. อยากมีสติ ปัญญา ให้ฝึกรู้ทัน ความคิด อารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง
เพราะเมื่อเรารู้ทันหรือเห็นกิเลสตัวเองเมื่อใด เมื่อนั้นสติ(จิตกุศล)จะเกิดขึ้น และกิเลส(จิตอกุศล)จะดับไป เฝ้าสังเกตดูไปเรื่อย ๆ โกรธปุ๊บ รู้ทันปั๊บ สติเกิด เฝ้าตามไปว่าโกรธได้ถึงเมื่อไหร่ สักพักพอดับ ก็จะเห็น ถ้าทุกครั้งที่เรารู้ทันความคิดและอารมณ์ของตัวเอง เราจะอยู่กับตัวเองและไม่พัฒนาต่อยอดความคิดอารมณ์ไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น จนพูดหรือทำร้ายคนอื่นไป เราจะมีเวลาระยะนึงให้พายุในใจสงบลง

3. อยากใช้ชีวิตแบบมั่นคงปลอดภัย ให้พึ่งตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะทุกคนรักตัวเอง ดังนั้นการรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือความมั่นคงที่สุด
การฝากความหวังไว้กับสิ่งอื่น ๆ ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคนอื่น สถานการณ์อื่น ทำให้เราเป็นเหยื่อของคน/สถานการณ์นั้น เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ผิดหวัง เสียใจ กล่าวโทษสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะทบทวนตัวเอง
ลงมือแก้ไขด้วยตัวเอง ชีวิตจึงไม่ก้าวไปไหนเพราะไม่เคยสร้างชีวิตได้ด้วยตัวเอง

4. อยากมีความสุข รู้สึกมีความสุขได้ทันทีเลย ไม่ต้องรอ
เพราะทุกวันที่ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างที่เราเคยทำ นั่นคือความสุขพื้นฐาน ที่ชีวิตมอบให้เราแล้ว
เดินได้ กินข้าวได้ ไม่เป็นโรคร้ายอะไร มีงาน มีเงิน มีบ้านให้กลับ มีครอบครัว มีญาติ มีเพื่อน เท่าที่เคยมีนั่นน่ะ คือความสุขแบบปกติ ที่เราควรจะขอบคุณในทุก ๆ วัน รู้สึกสุขได้ ง่าย ๆ เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอ...

5. อยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ให้รู้จักคุณค่าของ "เวลา"
เพราะสิ่งสำคัญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาที่ใช้ไปกับสิ่งสำคัญต่าง ๆ จึงต่างกัน
ตามคุณค่า ความหมายที่เรานิยามชีวิตเราไว้ บางคนให้ค่ากับสิ่งบันเทิง ก็ไม่แปลกอะไรที่เขาจะใช้เวลาส่วนมากไปกับการท่องเที่ยว บางคนให้ค่ากับเงิน แน่นอนเขาทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปกับการหาเงิน
บางคนให้ค่ากับงานที่รัก เขาก็มุ่งมั่นให้งานนั้นสำเร็จตามเป้าหมาย บางคนให้ค่ากับสิ่งสำคัญอย่างสมดุล ดังนั้นเขาก็ต้องจัดการเวลา สำหรับสุขภาพ ครอบครัว การงาน การเงิน ความสัมพันธ์ ให้ได้อย่างลงตัวที่สุด ทุกวันนี้ควรสำรวจตัวเองว่า ให้ค่ากับสิ่งที่ใช่ ใช้เวลามากน้อยแค่ไหน สอดคล้องกันหรือเปล่า




6. อยากอยู่กับโลกนี้ง่ายๆ ให้ยอมรับ "ความจริง"
สถานการณ์ไม่ว่าจะดี/ร้ายกับเรา อะไรเกิดขึ้นแล้ว ยอมรับ มันให้ได้ นั่นผ่านไปแล้ว
วันนี้ถ้าเราเริ่มจาก ยอมรับได้ ใจเราจะเปิดกว้าง ตาเราจะมองเห็น สมองจะเริ่มเปิดรับข้อมูลใหม่    ประมวลผล แล้วหาทางเดินต่อไป ก็แค่นั้น..ทุกการหยุดครั้งสำคัญในชีวิต ให้เริ่มคิดใหม่ แล้วเดินต่อ...

7. คนอื่นจะดีจะชั่วยังไงไม่ต้องสนใจ ให้โฟกัสที่ตัวเองว่าเป็นยังไง แค่นี้พอแล้ว
เพราะทุกคนล้วนมีมุมมืดและมุมสว่าง เปล่งแสงรวมเป็นเฉดเทา ๆ เหมือนกัน อยู่ที่เข้ม/จาง แค่ไหน
การใช้เวลาของตัวเองซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากและจำกัด ไปสนใจคำพูด/การกระทำของคนอื่น
นั่นเป็นสิ่งสูญเปล่า ไม่สู้นำเวลามาโฟกัสความคิด คำพูด การกระทำของตัวเอง ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรจะดีกว่า เรื่องของตัวเองหากรู้ทัน เห็นแล้วมันแก้ไขพัฒนาปรับปรุงได้
แต่เรื่องคนอื่นนั้น เสียเวลาเปล่า!

8. คนที่เราคิดว่าเป็นคนดีจะดีตลอดไป คนที่เราคิดว่าเป็นคนเลวจะเลวตลอดไป นั่นไม่จริง...
เพราะสิ่งที่ควบคุมและเข้าใจได้ยากที่สุด ก็คือ คน รวมทั้งตัวเราเองก็ด้วย
เมื่อผ่านเวลา สถานการณ์ต่าง ๆ เราจะเห็นได้ว่า ทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงได้ ในทางที่ดีขึ้นและแย่ลง
นั่นขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งในจิตใจของคน ๆ นั้น ต่อการจัดการกับความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา ณ เวลานั้น เราจึงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใคร ว่าเป็นคนดี/คนเลว ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย มีที่มาที่ไปของคน ๆ นั้น ซึ่งเราไม่มีทางรู้และเข้าใจมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเราไม่ใช่เขา

9. ไม่มีใครหนี้พ้น ผลลัพธ์จากการกระทำของตัวเอง
เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ก็เป็นผลลัพธ์จากสิ่งที่เราคิดและทำในอดีต อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น
คาดเดาได้จากสิ่งที่เขาคิดและทำในวันนี้

10. บุคคลใดขาดการจัดการด้านการเงินที่ถูกต้อง ชีวิตด้านอื่นของเขาจะพังไปด้วย
การเงินเป็นปัจจัยพื้นฐานในการใช้ชีวิต การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการหาเงิน ใช้เงิน เก็บเงิน ลงทุนต่อยอดเงิน เป็นวินัยพื้นฐานสำคัญของคนในปัจจุบัน ถ้าขาดวินัยด้านนี้แล้วย่อมส่งผลให้คุณภาพชีวิต ด้านอื่่น ๆ แย่ไปด้วย

การใช้ชีวิตที่ผ่านมา ทำให้ฉันรู้จักตัวเองว่า มีจุดอ่อนก็เยอะ มีจุดแข็งก็แยะ จะทักษะอะไรก็ตาม
ทักษะที่สำคัญมากในการใช้ชีวิต คือ "การคัดสรร" เลือกเก็บคน/ประสบการณ์ดี ๆ  เลือกตัดคน/ประสบการณ์แย่ ๆ เลือกลงมือทำในสิ่งที่มีประโยชน์ในระยะยาว เลือกลดละเลิกสิ่งที่เป็นโทษต่อชีวิต
แค่ทักษะนี้อย่างเดียว ถ้าทำได้ดี เราก็จะมีชีวิตที่ราบรื่่น มีความสุขได้มากพอแล้ว...
















วิธีคิดและวิธีการสร้างความสุข แบบมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

การออกแบบความสุขด้วยตัวเอง (Happiness Mastery)

Cr. ครูเปิ้ล สุดารัตน์ ศิริวรางกูร

มีโอกาสได้เรียนคอร์สออนไลน์ฟรี : Happiness Mastery หน้าเพจ IDEO Empowerment ทางFacebook
แล้วรู้สึกว่าเป็นของฟรีที่ดี อยากสรุปและมาส่งต่อค่ะ 
คิดว่าเนื้อหาสาระทั้ง 30 วัน มันตอบโจทย์คนสมัยนี้จริง ๆ 
ที่มักจะรู้สึกทุกข์ได้ง่าย ในขณะเดียวกันก็มีความสุขได้ยากขึ้นทุกวัน ๆ 

สุขแบบมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

อันดับแรก ถอนพิษออกก่อน

พิษที่ว่านี้คือ Toxic ของชีวิต ได้แก่

1. การแปะฉลากทางความคิด
ฉลากทางความคิด คือความคิดลบของเรา ที่เกิดขึ้นเมื่อเราเจอสถานการณ์ต่าง ๆ
ซึ่งเราจะแปะให้ตัวเองและแปะให้คนอื่น ซึ่งมันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
แต่มันจะทำให้เราปฏิบัติต่อคนอื่นผิดไปจากความจริง

เช่น เจอคนรู้จักบางคนแล้วเราเดินเข้าไปทักทายเขา 
เราคาดหวังว่าเขาจะยิ้มแย้มพูดทักทายกลับมา แต่เขากลับเฉย ๆ ไม่ยิ้มให้ด้วย
เราเลยแปะฉลากทางความคิดให้ตัวเองเลยว่า เรามันคนไม่สำคัญเขาไม่อยากคุยด้วย 
หรือแปะฉลากความคิดที่เขาว่า เป็นคนหยิ่ง ไม่น่ารักเลย 

จริง ๆ แล้วเขาอาจจะกำลังคิดอะไรอยู่ หรือเจอเรื่องแย่ ๆ ก่อนเราเขาไปทักทายเขาก็ได้
เมื่อเรายึดติดกับความคาดหวัง ว่าต้องอย่างงี้ มันจะทำให้เราไม่มองความเป็นจริง
เราจะทุกข์
"เมื่อเราแปะฉลากทางความคิด ให้กับตัวเองและผู้อื่น
เมื่อนั้นเราจะไม่รู้ความจริง ไม่เติบโต ไม่พัฒนา"

2. I am ok, you are not ok.
เราจัดวางตัวเอง อยู่เหนือคนอื่น
เราจะไม่ฟังใคร อีโก้จัด พัฒนาตัวเองไม่ได้
เพราะไม่มีใครอยากคุยด้วย ไม่มีใครช่วย

3. I am not ok, you are ok.
เราคิดว่าคนอื่นเก่งกว่า เราเลยฟังเขา
ทำให้เราติดกับดักตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลงเรื่อย ๆ
จะไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเอง

วิธีแก้คือ I am ok, you are ok.
เพราะความรู้ ประสบการณ์ของแต่ละคนนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้
"มนุษย์เราเป็นสิ่งเดียวที่พิเศษที่สุดในโลก
เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้"

4. Black and White
มองโลกไม่ขาวก็ดำเลย 
ไม่ได้มองโลกตามความจริงว่ามันเป็นสีเทามีเข้มมีจางหลายเฉดสีลดหลั่นลงมา
คนดี ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะโมโห เหวี่ยงวีนได้ในบางวัน บางเวลา
เราต้องเผื่อพื้นที่ให้ทุกคนมีพื้นที่สีเทา ๆ บ้าง

5. เลิกเป็นเหยื่อ
เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำ มาเป็นผู้กระทำ
ถ้าเราโทษสถานการณ์สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เราจะเป็นเหยื่อ
ย้ายอำนาจความสุขความทุกข์ มาอยู่ที่ตัวเรา
เราเป็นคนเลือกเอง (ไม่ใช่สถานการณ์หรือคนอื่น) 
ว่าจะสุข จะทุกข์กับเรื่องไหน เรารับผิดชอบชีวิตตัวเอง
ถ้าเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ เราจะดูแลรักษาตัวเองได้ยังไง
แม้ว่าจะมีความทุกข์บ้าง ก็คิดซะว่าเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง
เพื่อเติบโต
เพิ่มพลังความสุขให้ตัวเอง ด้วยตัวเอง และลดความทุกข์ที่เกิดจากคนอื่น
เพราะเราเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง


ถัดมาคือ ศึกษาวิธีคิดและวิธีการ นำไปลงมือทำ


1. ศิลปะการปล่อยวาง
ยุคนี้ใครมีความสุขก่อน คนนั้นชนะ
ไม่มีใครให้สูตรสำเร็จความสุขกับคุณได้
คุณต้องกลับไปดูแลตัวเอง
เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อย่าเพิ่งตัดสิน ตีความ
ให้ฝึกเอ๊ะในใจว่าอาจมีสาเหตุจาก อื่น ๆ อีกมากมาย
นอกจากคำตอบเราอย่างเดียว 
ฝึกคิดตามความเป็นจริงที่มีมุมมองหลากหลายมากขึ้น 
คิดดีต่อใจมีความสุข
"สิ่งที่น่ากลัวคือไม่รู้ว่าความสุขของตัวเองคืออะไร
ที่น่ากลัวกว่าคือ รู้ว่าความสุขคืออะไรแต่ไม่ทำ
ถ้าอยากมีความสุข กำหนดเวลา ลงมือทำ
เพราะมันเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน"

2. ก้าวข้ามความกลัว
คนที่ไม่กล้า มักจะอยู่ในที่เคยชิน (comfort zone)
และมักจะแคร์ผลลัพธ์

กลัวอะไรให้เผชิญหน้ากับมัน
แบบค่อยเป็นค่อยไป
เอาวะ ทำเลย เสร็จแล้วก็ ช่างแม่ง
"คนเก่ง คือคนที่พยายามก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเอง"

3. ฝึกมีความสุข เราต้องทำซ้ำ ๆ
ความสุขเป็นทักษะ ฝึกได้ เรามีความสุขได้เลยวันนี้
ความสุขมี 3 ระดับ
1. สุขกาย สบายใจ
2. ชีวิตมีเป้าหมาย (คือชีวิตที่ยังอยากอยู่ต่อไป)
3. ชีวิตที่มีความหมาย (คือชีวิตที่มีแรงบันดาลใจ)
เช่น อยากดูแลตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อดูแลคนที่รัก

4. วงล้อชีวิต หมุนให้สมดุล
มี 8 ด้าน เราควรจัดให้สมดุล 
เพราะถ้าให้ความสำคัญส่วนไหนมากเกินไป 
เมื่อไม่เป็นไปตามที่หวัง ชีวิตจะพังทันที
เฉลี่ยความสุขให้สมดุลทุกด้านตามความเป็นจริง


วงล้อชีวิต 8 ด้าน
เราลองให้คะแนนแต่ละด้านดูว่า เต็ม10 
เราให้ความสำคัญแต่ละด้านกี่คะแนน สมดุลมั้ย
ในด้าน
1.งาน 2.เงิน 3.เพื่อน/สังคม 4.วัตถุ 
5.สุขภาพจิต 6.สุขภาพกาย 7.ครอบครัว 8.ความชอบส่วนตัว

5. การมองเห็นความจริง
ความจริง จริง ๆ คือ สิ่งที่เราไม่ตัดสิน ไม่ตีความ ไม่เหมารวม
เพราะเมื่อเราตัดสิน มันจะเกิดอารมณ์ เราจะไม่ฉลาด จิตใจคับแคบ
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นปุ๊บ ลองดูว่าจริง ๆ แล้ว มันเพราะอะไรกันแน่
ถ้าทำได้ เราจะเห็นความจริง จริง ๆ ชีวิตจะปกติสุขขึ้น
กฤษณมูรติ "ความฉลาดสูงสุดของมนุษย์ 
คือการที่สังเกตอะไรที่เป็นความจริง จริง ๆ โดยไม่ตัดสิน และตีความ"

6. การสื่อสารอย่างสันติ
เมื่อเห็นเหตุการณ์ใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดและการกระทำของตัวเอง หรือของคนอื่น
ที่เรามองเห็นนั้น เปรียบเสมือนส่วนของก้อนน้ำแข็งที่อยู่เหนือน้ำซึ่งมีขนาดเล็กนิดเดียว
แต่ก้อนน้ำแข็งส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำนั้น เปรียบได้กับ ความรู้สึกและความต้องการ
ของตัวเอง หรือคนอื่นที่อยู่เบื้องหลัง คำพูดและการกระทำที่เรามองเห็นได้ด้วยตา
เพราะฉะนั้น หลาย ๆ เหตุการณ์ในชีวิตที่เรารู้สึกเบื่อหรือบ่นออกมา
ให้ย้อนลงไปดูก้อนน้ำแข็งใต้น้ำที่ลึกลงไป ว่าจริง ๆ แล้ว 
เรารู้สึกยังไง... เราต้องการอะไร... 
เพราะเมื่อเรารู้ความต้องการของเราจริง ๆ 
เมื่อไหร่ที่เราเห็น เมื่อนั้นเราจะสุขใจ เหมือนได้รับการเติมเต็ม 
มันสำคัญมากเพราะเมื่อเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เราสามารถเลือกวิธีการสื่อสารออกไป
ให้ฉลาดและน่าจะเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลตรงกับความต้องการของเรา
การสื่อสารมี 4 แบบ
1. ยี่ราฟหูเข้า คือ เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง เข้าใจความต้องการของตัวเอง
2. ยี่ราฟหูออก คือ เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น เข้าใจความต้องการของคนอื่น
3. หมาป่าหูเข้า คือ โทษตัวเอง ไม่เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง
4. หมาป่าหูออก คือ โทษคนอื่น ไม่เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของคนอื่น
    ด่ามาด่ากลับ ตอบโต้กลับไป
"ฝึกพัฒนาตัวเอง เป็นยี่ราฟหูเข้า และยีราฟหูออก เพราะมีจิตใจเปิดกว้าง มองรอบด้าน
เลิกเป็นหมาป่าหูเข้า และหมาป่าหูออก เพราะจิตใจคับแคบ"

7. รักษาสุภาพร่างกายให้ดี
เพราะสุขภาพกายที่ดีจะช่วยให้เราอยู่ในภาวะ Cold stage ได้ง่าย

Cold stage คือภาวะปกติที่เรากินอิ่ม นอนหลับเพียงพอ ไม่มีอะไรกดดัน 
เราเป็นเรามีความรู้สึกควบคุมอะไรได้ง่าย
Hot stage คือภาวะที่เราไม่พร้อม เช่น ร้อน เหนื่อย หิว ง่วง พักผ่อนไม่เพียงพอ
มีเรื่องงาน/ส่วนตัว คอยกดดัน เราจะไม่เป็นตัวเอง ปรี๊ดแตกง่าย

การรักษาสุขภาพร่างกายจึงสำคัญมาก 
เพราะจิตใจที่ดีย่อมอยู่ในร่างกายที่ดีเท่านั้น

8. กฎ10/90
การตอบสนองต่อสถานการณ์ใน 10 วินาทีแรก
มักจะกำหนดผลลัพธ์ 90% ของชีวิตเรา

เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ให้ถามตัวเองก่อนว่า
เรารู้สึกและต้องการอะไร
เขารู้สึกและต้องการอะไร
มองให้ลึกลงไปในภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำนั้น
จากนั้นค่อยเลือก "วิธีการ"ตอบสนองที่ถูกต้อง
กับความรู้สึกและความต้องการของเรา (แบบยีราฟหูเข้า)
หรือความรู้สึกและความต้องการของเขา (แบบยีราฟหูออก)

"ชีวิตเป็นอย่างที่เราทำ เลือกวิธีการที่ถูกต้อง ก่อนส่งออกไป"







เมื่อไหร่ใช้เวลากับคนสำคัญ เมื่อนั้นเราจะสุขใจเสมอ

ทริปนี้ที่บางกอก บางกอก ดินแดนความรักของเรา...อยู่ที่บางกอก บางกอก...
เป็น 2 วันสั้น ๆ แต่คุ้มค่าและประทับใจมากมาย
เราเลือกไปสัมนาเพื่อพัฒนาตัวเอง มันดีที่มีเพื่อนรักขับรถมาหลายชั่วโมง
เพื่อมาฟังสัมนาด้วย คอยรับส่ง ไปทานข้าวกับพี่สาวที่รัก
เป็นมื้อเย็นที่ยอดเยี่ยม อิ่มอร่อย มีที่พักแสนสบาย ดีงามจริงๆ
ขอบคุณมิตรภาพระหว่างเรา เลิฟมากมาย

ก่อนกลับเพื่อนรักชวนเที่ยวพิพิธภัณฑ์ศิลปะ MOCA BANGKOK
เลยแยกงามวงศ์วานไปนิด บนถนนกำแพงเพชร6 ขนานกับเส้นวิภาวดี
เลยลองไปกันดู

ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 250 บาท นักเรียน/นักศึกษา 100 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี เข้าฟรีจ้า

เข้าไปแล้วที่นี่น่าสนใจมาก มี 5 ชั้น G, 2, 3, 4, 5
มีทั้งโซนนิทรรศการถาวรและหมุนเวียน
งานศิลปะหลากหลาย ภาพวาด ภาพพิมพ์ สิ่งประดิษฐ์ รูปปั้น
จากศิลปินทั้งไทยและเทศ อลังการจริง ๆ
ภาพกับงานปั้น ไม่น่าจะต่ำกว่า 400 ชิ้น
พูดเลยว่า คุ้มค่าบัตรมาก
รู้สึกว่าเวลา 2 ชั่วโมงในนั้น ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีคนไทยค่อนข้างน้อย

เดินดูงานศิลปะไปเรื่อย ๆ ถ่ายรูปวนไป
งานบางชิ้นบอกเล่าเรื่องราวในอดีต บ้างบอกปัจจุบันอันแสนวุ่นวาย
บางภาพสื่อถึงธรรมชาติ บางภาพให้จินตนาการ
บางโซนบอกเล่าเรื่องราววรรณกรรมไทย เช่น เรือนนางพิม มีรูปปั้นขุนช้างขุนแผน
ภาพเล่าเรื่องราวความรักที่มีจุดจบไม่สวยของทั้ง 3 คน อยู่ในเรือนไทย

งานศิลปะช่วยเปิดตา เปิดใจทำให้เกิดความรู้สึกที่หลากหลาย
ทึ่ง ชอบ ทำได้ไง
นิ่ง สงบ
ประหลาดใจ งง
ละเอียด สวย

ใครอยู่ไม่ไกลแถวดอนเมือง หรือหลักสี่
อยากให้ลองไปดู ใช้เวลาเดินดูแบบชิลหน่อย
ซึบซับบรรยากาศงานศิลป์เหล่านี้
น่าจะได้ไอเดียใหม่ ๆ ไปต่อยอด ทำไรต่อได้อีกเยอะเลย


I have a good time with my close friend
at MOCA BANGKOK (Museum of contemporary art).
There are lots of amazing arts.




















ขุนแผน นางพิม ขุนช้าง







"มารผจญ" ถวัลย์ ดัชนี
สีน้ำมันและทองคำเปลวบนผ้าใบ



"ไม่มีชื่อ" ทวี นันทขว้าง
สีอะคริลิคบนผ้าใบ

"วาระการกวนเกษียรสมุทรให้ได้มาซึ่งน้ำอัมฤทธิ์" ประทีป คชบัว
สีน้ำมันบนผ้าใบ



"ไตรภูมิ" จิตรกรรมสูง 7 เมตร