หลักคิดในการทำงานและการใช้ชีวิต

ขอบคุณหนังสือ "99 หลักคิด และปรัชญาการทำงาน"
โดย บุญเกียรติ โชควัฒนา


หนังสือเล่มนี้รวมหลักคิดของคุณบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการและกรรมการบริษัทในเครือสหพัฒน์ ที่ใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิต ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีหลักคิดของ ดร. เทียม โชควัฒนา 
ดร. วิพันธ์ เริงพิทยา ดร. อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ อ. ปริญญา ตันสกุล และนายโคอิชิ สึคาโมโต๊ะ (อดีตประธานบริษัท วาโก้ ประเทศญี่ปุ่น) รวมอยู่ด้วย

Gift for Life


เมื่ออ่านทั้ง 99 หลักคิดแล้ว เราพบว่า โดยส่วนใหญ่แล้วผู้เขียนได้แนะนำเกี่ยวกับ "การมองตนเอง"  เป็นหลัก มองที่ ความคิด การพูด และการกระทำ นอกจากนี้ผู้เขียนพูดถึง การมองผู้อื่น ครอบครัว องค์กร และสังคม

1. มองที่ตนเองเป็นหลัก

ความคิด
คิดดี คิดบวก คิดเก่ง คิดเป็น
คิดถึงคนอื่นมาก ๆ โดยเฉพาะช่วงวิกฤต
คิดทบทวนตนเองเมื่องานสำเร็จ/ล้มเหลว 
คิดว่าสำเร็จก่อนแล้วจึงลงมือทำ
เมื่อคิดว่าตนเองฉลาด ให้เอาความฉลาดไปทำบุญ (ทำประโยชน์กับคนอื่น)
รู้มากขึ้นเท่าไหร่ จะรู้ว่ารู้น้อยมากเท่านั้น
เราห้ามคนคิดไม่ดีกับเราไม่ได้ แต่ทำให้เขาคิดกับเราดีขึ้นได้
หวังดี เคารพรักผู้อื่น
ใครทำดีกับเรา..ต้องจำ!!!
ไว้ใจคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อทำงานใหญ่
ลดความกลัว เพราะมันทำลายความคิดสร้างสรรค์ กลัวสิ่งไหนให้ทำสิ่งนั้น (เริ่มจากไม่ถนัด จนถนัดในที่สุด)

การพูด
พูดดี
ชื่นชม/ขอบคุณ ผู้มีส่วนร่วมทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างเปิดเผย

การกระทำ
ทำดี และทำดีกับผู้อื่น..ต้องลืม!!!
พัฒนาตนเอง
ยินดีเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ
มีสัมมาคาระวะกับทุกคน
ถ่อมตัว ยกย่องผู้อื่น
ทำความฝันให้เป็นจริงได้อยู่เสมอ
ทำงานมองฟ้า ความเป็นอยู่มองดิน
ทำงานเพื่อส่วนรวมไม่กังวลว่าคนอื่นจะทำงานน้อยกว่าเรา
อย่าให้งานรอการตัดสินใจจากเรา
เพิ่มปัญญาเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ใช่เพิ่มแต่ประสบการณ์
ช่วยเหลือตนเองก่อน แล้วคนอื่นจะมาช่วยเรา
ช่วยเหลือคนไม่ต้องคิดถึงความคุ้มค่า (ไม่ใช่ธุรกิจ)
เมื่อเป็นผู้นำ ต้องเสียสละ เป็นผู้ให้ และเป็นตัวอย่างที่ดี

2. มองผู้อื่น
เรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่น จะได้ไม่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
หาความสามารถเขา และช่วยเปลี่ยนเป็นความสำเร็จ

3. ครอบครัว องค์กร และสังคม
ให้ "ความรัก"

เราจะเห็นได้ว่า ความคิด และการกระทำ นั้นสำคัญมาก 

พูดแต่น้อย คิดแล้วทำให้เยอะ ๆ 

"รู้ทันความคิดของตนเอง"

"ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า"

"ทำแต่คุณงามความดี"


คิดบวกคิดดี มัน Happy นะ

ขอบคุณหนังสือ  3 พลังมหัศจรรย์
โดย บัณฑิต อึ้งรังสี


หนังสือเล่มนี้บอกวิธีการนำ พลังจิต พลังใจ และพลังกายในตัวคนเรามาใช้เพิ่มศักยภาพ
และความสุขให้กับชีวิต สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ครอบครัว และโลกใบนี้ 
ถ้าใครทำได้อย่างที่คุณบัณฑิตแนะนำไว้ เราเชื่อว่าคน ๆ นั้น จะมีชีวิตที่สุขและสนุกมาก...

just smile and laugh


เราขอนำเสนอบางข้อคิดที่ประทับใจและตั้งใจว่าจะทำมาฝากนะ
1. เรารับผิดชอบชีวิตตัวเอง 100% เมื่อเกิดความผิดพลาดให้รู้ไว้เลยว่าเกิดจากตัวเราเอง 
ให้พิจารณาที่ตัวเองแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น
2. ให้การบ้านจิตใต้สำนึกทำงานทุกคืนก่อนนอน ด้วยการนึกภาพถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะทำอะไรบ้าง
3. สร้างพลังกาย เพิ่มออกซิเจนให้มันด้วยการหายใจแบบที่คุณบัณฑิตแนะนำ หายใจแบบนี้ 10 รอบ
ทำวันละ 3 ครั้ง ตอนตื่นนอน ตอนเที่ยงหลังกินข้าว ตอนก่อนนอน
วิธีการ: หายใจเข้านับ 1-5 ค้างไว้นับ 1-20 หายใจออกนับ 1-10 นี่คือหนึ่งรอบ
4. สังเกตความคิดของตัวเองในแต่ละวัน ถ้าเมื่อไหร่คิดลบให้หยิกตัวเองเพื่อทำโทษ 
ถ้าเมื่อไหร่คิดบวกให้ยิ้มนิด ๆ สวย ๆ 555
5. ปลดอารมณ์ร้ายออก ใครทำผิด/ไม่ดีกับเรา ให้อภัยเขา มันเกิดขึ้นแล้ว...
มันเป็นปัญหาของเขา เราคิดดีเจตนาดีไม่ต้องเก็บมาเป็นอารมณ์ 
ส่งความรักให้เขาแล้วหันไปทางอื่น ทำเรื่องที่เราสนุก
6. ใช้พลังจิตสร้างชีวิต โดยเปลี่ยนความคิดตัวเองก่อน
ใช้วิธีพูดกับตัวเองซ้ำ ๆ ทุกวัน (Self-talk) เพื่อให้ความคิดเราเปลี่ยน
พูดประโยคปัจจุบัน พูดเรื่องบวก
"ชั้นสุขภาพดี ชั้นอารมณ์ดี ชั้นเก่งขึ้นทุกวัน ชั้นรวยมาก ชั้นมีสติทุกเวลา"
...แฟนชั้นเป็นคนดี 55

จำไว้ว่า เราเป็นผลผลิตของความคิดเรานั่นเอง
ความคิดเกิดขึ้นก่อน ความจริงเกิดขึ้นตามทีหลัง
เราทุกคนจึงเป็นผู้กำกับที่เขียนบทชีวิตให้ตัวเอง...

มาสร้าง blog สุด love กันเถอะ

ขอบคุณหนังสือ "คนอื่นคลิกคุณได้เงินกับ Google AdSense"
โดย สุมลรัตน์ ภิรมย์ธนากุล


หนังสือเล่มนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานละเอียดยิบ บอกวิธีการสร้าง blog ผ่าน blogger ซึ่งทุกอย่างฟรี!!!


การพัฒนาตนเอง คือ การลงทุนระยะยาวที่ได้กำไรเสมอ

เพียงแค่เรามีสิ่งที่รัก สิ่งที่รู้ หรือประสบการณ์ที่อยากแชร์ เอามาใส่ลงใน blog 
เมื่อมีบทความมากพอ และผ่านคุณสมบัติ เราก็สามารถใช้ blog นี้สมัคร Google AdSense ได้
เมื่อผ่านการสมัครแล้ว ก็จะมีโฆษณาจากเจ้าของสินค้า/บริการ ที่ซื้อโฆษณากับ Google มาลงใน blog ของเรา หากมีการคลิกอ่านโฆษณานั้น Google ก็จะแบ่งรายได้ให้เจ้าของ blog ด้วย 

รายได้อาจจะไม่เร็วหรือหวือหวา แต่ถ้าทำได้ก็มีมาเรื่อย ๆ นะ
เราสามารถสร้างแหล่งรายได้อีกทางซึ่งทำงานให้เราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย 
นี่มัน Passive Income ชัด ๆ

blog นี้ Do it right now : เริ่มทำซะ เกิดขึ้นมาได้เพราะหนังสือเล่มนี้เลย 
คอนเฟิร์มว่าสร้างบล็อกมันง่ายมาก...

อ่านเล่มนี้แล้ว ลงมือทำเลยเพื่อพิสูจน์ว่า การหารายได้ออนไลน์ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เหมาะกับมือใหม่ ใช้เวลาไม่มาก ได้รับเงินจริง ๆ (เพราะ Google AdSense เป็นของ Google เชื่อถือได้ 100% และผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คุณสุมลรัตน์รวมถึงนักหารายได้ทั่วโลก ก็เคยได้เงินจาก Google AdSense มาแล้วทั้งนั้น)

รอสังเกตได้เลย เมื่อไหร่ที่บล็อกนี้เริ่มมีโฆษณา แสดงว่าสมัคร Google AdSense ผ่านแล้ว 
และถ้าเริ่มได้เงินจากบล็อกนี้เมื่อไหร่ จะมาบอกกันอีกทีนะคะ

ลงมือทำ...ไปเรื่อย ๆ สักวันคงเห็นผลค่ะ

กฎทอง 3 ข้อ อ่านมากแค่ไหน ก็จำได้ไม่ลืม

ขอบคุณหนังสือ "เทคนิคอ่านให้ไม่ลืมที่จิตแพทย์อยากบอกคุณ"

โดย "คะบะซะวะชิอง"

คุณคะบะซะวะชิองเป็นจิตแพทย์ที่โด่งดังในญี่ปุ่น ผู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้มากมายอันมีประโยชน์ผ่านโซเชียลซึ่งมีผู้ติดตามล้นหลาม เป็นผู้ที่เขียนหนังสือได้ปีละหลายเล่มและเป็นหนังสือขายดีด้วย ท่านบอกไว้ว่าหากจะเขียนหนังสือหรือถ่ายทอดความรู้ให้ได้มากและหลากหลาย ก็ยิ่งจะต้องรับเอาข้อมูลและความรู้เข้าไปให้มากและหลากหลายกว่าหลายสิบเท่า ดังนั้นท่านจึงเป็นอีกคนนึงที่สามารถบริหารจัดการเวลาได้ดีมากจนสามารถอ่านหนังสือได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 30 เล่ม การอ่านที่มากอย่างนี้ จำเป็นมากที่จะต้องอ่านแบบเข้าใจและจดจำเรื่องราวได้ จนท่านสามารถนำมาถ่ายทอดเป็นงานเขียนที่หลากหลายของท่าน หนังสือเล่มนี้ท่านได้อธิบายเทคนิคการอ่านไว้อย่างละเอียด หากทำตามแล้วมั่นใจได้ว่าจะทำให้จำได้ไม่ลืม...

 First step doing something is reading.

กฎ 3 ข้อ อ่านแล้วจำได้ไม่ลืม

1. อ่านแล้วต้อง"ส่งออก" 3 ครั้งภายในหนึ่งสัปดาห์ เพราะเมื่ออ่านสมองจะเก็บข้อมูลไว้ชั่วคราวที่ฮิปโปแคมปัส ซึ่งจะทยอยลบข้อมูลออกใน 1-2 สัปดาห์หากข้อมูลนั้นไม่ถูกเรียกใช้เลย (เช่นเดือนที่แล้ววันเดียวกันคุณกินมื้อเที่ยงอะไรที่ไหน คงจะนึกไม่ออกแล้ว) แต่ถ้าข้อมูลนั้นมีการเรียกใช้ 3 ครั้งภายในเวลาที่บอกไว้ สมองจะเริ่มจำว่าข้อมูลนี้สำคัญ จึงย้ายข้อมูลนี้ไปเก็บที่สมองกลีบขมับ ซึ่งเป็น "คลังเก็บความทรงจำ" วิธีการส่งออก มี 4 วิธี ได้แก่
    1) อ่านไปโน็ต/ไฮไลท์ข้อความไป
    2) เล่าเนื้อหา/แนะนำหนังสือให้เพื่อน
    3) แบ่งปันสิ่งที่ฉุกคิด/คำคมบน Facebook (นี่ก็จุดประกายให้เราคิดที่จะสรุปสิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือส่งออกให้คนอื่นผ่านบล็อกนี้และแชร์ผ่าน Facebook)
    4) เขียนบทวิจารณ์หนังสือ (ผู้เขียนแนะนำว่า ควรเริ่มเขียนหลังจากอ่านจบแล้วไม่น้อยกว่า 1 วัน เพื่อให้ปราศจากอารมณ์ที่คงค้างจากการอ่าน จะได้วิจารณ์อย่างเป็นกลางไม่มีอคติ)
นอกจากนี้ การใช้อารมณ์ขณะอ่านจะช่วยให้จำได้นานแม้ไม่ได้ส่งออก เช่น อารมณ์สนุก ความสุข ความรัก ความตื่นเต้น และความกลัว

2. อ่านช่วงสั้น ๆ 15 นาที เพราะคนเรามีสมาธิแค่ 5 นาทีแรก กับ 5 นาทีสุดท้ายที่อ่าน ดังนั้นให้แบ่งอ่านสั้น ๆ จะมีช่วงที่มีสมาธิมากกว่าอ่านรวดเรียวยาว ๆ ยกเว้นรู้สึกสนุกมากก็อ่านรวดเดียวจบได้ในช่วง 45 นาที/ 90 นาที เท่านั้น เพราะคนเรามีสมาธิได้ยาวนานแค่นี้ นี่คือสาเหตุที่กำหนดให้นักฟุตบอลเล่น 45 นาที 2 ช่วง

3. ทำความเข้าใจเนื้อหา โดยอ่านตีความให้เข้าใจลึกซึ้ง จนนำไปคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ สแกนภาพรวมหนังสือก่อน กำหนดเป้าหมายว่าอยากรู้อะไรให้ข้ามไปอ่านเนื้อหาที่อยากรู้ก่อนจะได้จำแม่น

นอกจากนี้ท่านยังได้แนะนำถึงข้อดีของอีบุ๊กว่าราคาถูกกว่าหนังสือ พกพาได้สะดวก ไม่สิ้นเปลืองเรื่องหาที่จัดเก็บ และเราควรซื้อหนังสือให้สมดุล กล่าวคือ เพื่อเสริมจุดเด่น เป็นหนังสือเกี่ยวกับงานที่ทำ เนื้อหาปานกลางถึงยาก เพื่อลดจุดด้อย เป็นหนังสือเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ควรเริ่มจากเนื้อหาง่าย ๆ พื้นฐาน

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า You are what you read คุณเป็นในสิ่งที่คุณอ่าน
และ You are what you write คุณเป็นในสิ่งที่คุณเขียน
ท่าจะจริง เพราะอ่านกับเขียนนั้นสัมพันธ์กันแน่ ๆ 
ไม่มีนักเขียนคนไหนจะสร้างงานเขียนได้ หากไม่รู้จักอ่านให้มากพอ...



การเดินทางสู่เจ้าของธุรกิจแฟชั่น

ขอบคุณหนังสือ "กฎ ขบถ ศรัทธา WORLD UNDER MY WINGS"

โดย "วรากฤช วิวัฒนาเกษม (บ๊อบ)"

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวของคุณบ๊อบ ตั้งแต่ออกจากมนุษย์เงินเดือน ฝ่าฟันอุปสรรรคต่าง ๆ ในโลกแห่งความจริงโลกของธุรกิจ จนกลายเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย Sneaker เจ้าแรก ๆ ของไทย ในชื่อร้าน  V.A.C. (Vii Athletic Club) คุณบ๊อบเริ่มต้นทำมันด้วยความรักความศรัทธาในสิ่งที่ตนเองชอบ เล่าเรื่องราวได้สนุกตามสไตล์ของตัวเองที่ค่อนข้าง  "Real" มาก ๆ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย มีหลายช่วงที่รู้สึกลุ้นเอาใจช่วย เพราะปัญหามันเข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งสิ่งที่ควบคุมได้และไม่ได้ ทั้งนี้เขาก็อดทนและสู้ไม่ถอยจนสามารถขยายร้านได้กว่า 10 สาขา สร้างยอดขายถึง 100 ล้านบาทต่อปี อ่านแล้วรู้ซึ้งเลยว่าการสร้างธุรกิจแฟชั่นผ่านการดึงตัวตนของตัวเองออกมาทำธุรกิจนั้นมันไม่ง่าย แต่คุณบ๊อบก็ทำมันได้เพราะเขาเป็นคนที่มี "ตัวตน" ชัดเจนมาก มีความมุ่งมั่นในการพัฒนางานตลอดเวลา...

passion

 จากประสบการณ์ตรงในการสร้างธุรกิจแฟชั่นของเขา คุณบ๊อบแนะนำข้อคิดและข้อเตือนใจไว้ให้ผู้ที่คิดจะสร้างธุรกิจของตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง เราจะขอยกบางเรื่องที่รู้สึกว่าเข้าใจได้ง่ายและประทับใจ ดังนี้
1. การตั้งชื่อ Brand มีหลักง่าย ๆ คือ อ่านง่าย จำง่าย แตกต่าง (ไม่ซ้ำใคร ให้ลองเช็คในกูเกิ้ล) สุดท้ายมีความหมายมีที่มา (ได้ก็ดี แต่อาจไม่จำเป็นเสมอไป)
2. ออกแบบโลโก้ด้วยตนเอง มีหลักคิดว่า เราชอบอะไร แบรนด์หรือร้านที่จะออกแบบเป็นอะไร มีชื่อว่าอะไร (พิจารณาสามสิ่งนี้เข้าด้วยกัน วาดไปเรื่อย ๆ แล้วจะเริ่มเจอแบบที่ถูกใจ)
3. เมื่อไหร่ก็ตามที่คนอื่นจำ "ผลงาน" ของเราได้มากกว่าจำชื่อเรา นั้นแหละคือตัวชี้วัดความสำเร็จของตัวเอง
4. จง Capture "Moment(ช่วงเวลา)" และ "Emotion(อารมณ์)" อย่าได้ถ่ายรูปแบบธรรมดา ๆ มันเสียเวลา "ผมไม่ได้ถ่ายภาพมั่วซั่วเป็นร้อยเป็นพันรูปแล้วหวังว่าจะมีเข้าเป้า แต่จะมีภาพอยู่ในหัวอยู่แล้วว่าอยากได้ภาพแบบไหน ผมจะรอช่วงเวลานั้นแล้วจึงจะกดชัตเตอร์เท่านั้น"

การเริ่มต้นเข้าสู่โลกธุรกิจเต็มตัวนั้นมันไม่ยาก แต่จะทำให้อยู่รอดและเป็นผู้นำธุรกิจนั้น มันยากกว่ามาก เพราะเมื่อคุณหยุดพัฒนาตัวเองเมื่อไร่ ก็จะมีคู่แข่งใหม่มาแทนที่อย่างแน่นอน...



มหัศจรรย์มนุษย์พ่อ

ขอบคุณ นายคำนึง สังข์ช่วย
โดย นางสาวปัทม์วรรณ สังข์ช่วย



papa daddy father

 เรามักได้ยินว่า "เป็นมนุษย์แม่ต้องสตรอง" ไม่เฉพาะแม่หรอกที่ถูกบังคับให้เป็นคนเข้มแข็ง
ในขณะเดียวกัน มนุษย์พ่อก็ต้องสตรองเหมือนกัน แค่อาจจะเห็นให้ได้ไม่ชัดเท่าเมื่อเทียบกับแม่
พ่อของเรา มีหลายชื่อ "พ่อแป้ง คำนึง พี่แป้ง ลุงแป้ง น้องอ๊อด ไอ้แป้ง" คนรอบข้างมักเรียกต่าง ๆ กันไป
ไม่สำคัญว่าพ่ออยู่ในฐานะไหน ที่สัมผัสได้ตั้งแต่เด็กคือ "พ่อเป็นคนของประชาชน" เพราะอยู่ที่ไหนก็สร้างเสียงหัวเราะได้ที่นั่น มีแต่คนชอบมาหา มาคุยปรึกษาปัญหาบ่อย ๆ โดยเฉพาะ ขอเลขเด็ด ฮา....

รวมพฤติกรรมมหัศจรรย์มนุษย์พ่อ ของปอ

1. "ตลกตลอดเว" ยิงมุขได้ทั้งวัน โดยเฉพาะแหย่ให้แม่ขึ้น อันนี้งานถนัด สร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคน เพราะไม่มีใครอยู่ข้างแม่ ถึงแม้พ่อจะมีทุกคนเป็นพวก แต่ทุกครั้งไม่ว่าเรื่องอะไรพ่อก็แพ้อยู่ดี...ก็แม่เราสวยไง 55

2. "เป็นมนุษย์แฟชั่น" เสื้อกางเกงชุดทำงานซื้อในห้างของแบรนด์ตลอด ซื้อทีละหลาย ๆ ตัว เพราะเมื่อก่อนพ่อทำงานที่ดิน ต้องเจอกับประชาชนหลากหลาย แกบอกว่าการแต่งตัวเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าแต่งให้ดูดีมีมาตรฐานชาวบ้านเขาก็มอง มันดูน่าเชื่อถือ ทุกวันนี้ยังเอาเรื่องนี้สอนพี่ชายอยู่เลยว่าต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเวลาไปทำงาน มันช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ 
แต่ถ้าเป็นชุดใส่อยู่บ้าน พ่อเลือกยีนส์ตลาดนัด และก็มีดีไซด์ซื้อมาแล้วต้องตัดแต่งทรงใหม่ก่อน ถึงจะใส่ได้ มาถึงเรื่องชุดนอนใส่เสื้อกางเกงธรรมดาไม่เป็น ต้องชุดนอนที่เข้าชุดกันเท่านั้นส่วนใหญ่ก็เป็นสีสด ๆ ถ้าสีแดงนี่ชอบมาก มีครั้งนึงพ่อฝากซื้อรองเท้าวิ่งกับชุดกีฬา ก็ไปดูให้แกบอกว่ารองเท้าเอาสีแดง ชุดก็สีแดงด้วย คือลูกก็ทักนะว่าไปวิ่งแถว ๆ บ้านมันมีวัวข้างทางด้วย เอาจริงหรือ "เอาสิ" พ่อมั่นใจ...

3. "เป็นคนใจเย็นมาก" ไม่ว่าแม่จะบ่น จะด่า จะว่าอะไร แกก็ตอบกลับได้แบบตลกอ่ะ ขำไปอีก บางทีก็สงสารแม่นะ ฮา... บางวันแม่บ่นว่า ทำไม่ไม่รู้จักเก็บที่นอนตัวเองบ้างก่อนออกไปเที่ยว พ่อก็ตอบง่าย ๆ ว่า จะเก็บให้เหนื่อยทำไม เดี่ยวตอนเย็นก็นอนอีก... มีอยู่ครั้งนึงด้วยความที่แม่ชอบติชอบว่าคนโน้นคนนี้ แม่ล้างจานไว้เสร็จ พ่อก็แกล้งถาม นี่ใครล้างจาน ล้างไม่สะอาดไม่เรียบร้อย แม่หันขวับไปหาเลย พ่อก็พูดว่า เนี่ยจำความรู้สึกนี้ไว้นะ เวลาว่าคนอื่นนะ คนที่ถูกว่าเค้าจะรู้สึกยังไง แม่อึ้งเถียงไม่ออก 555

4. "เป็นคนไม่มีตังค์ตลอดเวลา" ทำตัวดูน่าสงสารในกระเป๋าไม่มีตังค์ ถ้ามีก็น้อย คือหนึ่งบาทไม่ค่อยกระเด็น กระเด็นทีหลักพัน (ซื้อหวย) หลักหมื่นหลักแสน (ให้เวลาลูกเดือดร้อนในเรื่องจำเป็น..เรียน,รถ,บ้าน) เป็นผู้ชายที่เก็บตังค์เก่ง แกบอกว่าต้องมีเงินฉุกเฉินสำรองไว้เสมอ เจ็บไข้ไม่สบายถ้าไม่มีแล้วมันลำบากนะ

5. "เป็นเชฟมือดี เป็นแม่บ้านมือรอง" ทำกับข้าวอร่อยทำเร็วด้วย แม้ความสะอาดจะไม่เต็มสิบแต่ก็โอเค ทำปลาเก่งมาก เพราะเป็นเด็กริมคลองหาปลา ช่วยย่าทำปลาตลอด ถึงกับมีมีด,กรรไกรส่วนตัวพกไว้ใช้แล่ปลา งานบ้านไม่นิ่งดูดาย ล้างจาน กวาดบ้านถูบ้านถ้าเห็นแม่ไม่ไหวก็ช่วยทำอยู่เรื่อย ๆ 

6. "มีความอดทนสูง" อดทนทำงานหนัก อดออมเพื่อครอบครัว อดทนต่อความงี่เง่า ความเอาแต่ใจ ความอารมณ์ร้อนของลูกสาวคนนี้ มานึกย้อนไปตอนม.ปลาย จำได้ว่าอ่านหนังสือดึกตื่นสายมาก พ่อปลุกทุกวันตื่น 7 โมงครึ่ง พ่อไปส่งถึงโรงเรียนแปดโมงแล้วก็ขับไปที่ทำงานต่อซึ่งไกลนะ เพิ่งมานึกได้ว่าช่วงนั้นคงทำให้พ่อไปทำงานสายทุกวัน ขนาดช่วงทำงานแล้วให้แกไปส่งสนามบินก็ยังออกจากบ้านช้า บังคับให้แกต้องซิ่ง เพราะปกติคนอื่นจะแซวว่าแกขับรถน้ำมันตราเต่า เวลาจำเป็นก็ซิ่งได้ถึงทันเวลาทุกที ไม่ว่าไม่บ่นสักคำ มีแค่คำพูดสั้น ๆ ตื่นได้แล้ว 7 โมงครึ่งแล้ว เครื่องออกกี่โมงแต่งตัวได้แล้ว...

7. "ไม่ตัดสินใคร" ถึงวันนี้พ่อจะไม่ค่อยชอบเข้าวัดทำบุญ แต่พ่อก็ทำดีในแบบของพ่อ ฝากตังค์ร่วมบุญไปกับย่า หรือไปส่งแม่ไปวัด ตอนเด็ก ๆ เห็นพ่อตื่นแต่เช้ามาใส่บาตรเณรทุกวัน คนรอบข้างพ่อไม่ว่าจะเป็นใคร เลือกใช้ชีวิตยังไง พ่อมองเพียงข้อดีของเค้าไม่วิจารณ์หรือด่าใคร ส่วนข้อเสียก็จะแซวแบบขำ ๆ ไปมากกว่า อันนี้คิดเองว่าแกคงปล่อยวาง ชีวิตใครก็ชีวิตคนนั้น เลือกทำอะไรผลที่ได้ก็ต้องยอมรับมัน

8. "ให้ความสนิทสนมกับลูก ๆ เหมือนเป็นเพื่อน" ยิ่งโตขึ้นยิ่งชัดเจน ไม่มีความรู้สึกว่าต้องกลัวพ่อเลย เพราะพ่อให้โอกาสเราล้อเล่นกันได้ แซวกันได้เป็นเพื่อนกันไง เป็นที่ปรึกษาก็ได้ พ่ออ่านขาดทุกสถานการณ์ เข้าใจปัญหาและเข้าใจคนอื่น พ่อจึงได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจใครหลาย ๆ คน

สุดท้ายนี้ สิ่งที่คุณปิยพันธ์ วงศ์ยะรา (Founder & CEO สต็อคทูมอร์โรว์) กล่าวไว้ว่า

"พ่อ...ฮีโร่คนแรกของลูกชาย...รักแรกของลูกสาว" เป็นเรื่องจริงค่ะ

5 ธันวาคม 2560 
(วันนี้วันดี สร้างโอกาสให้ลูกบอก "รักพ่อ" ผ่านบล็อกของลูกค่ะ)







เมื่อไหร่เราควรลาออกจากงานประจำ

ขอบคุณหนังสือ "ตำราก่อนลาออก"
โดย "คุณพูม ชินโชติกร" 


feel free


เมื่อไหร่ดีที่เราควรลาออกจากงานประจำ ?
ตอบง่าย ๆ เลย "เมื่อพร้อม" แล้วเราจะรู้ได้ยังไง แค่ไหนคือพร้อม...
หนังสือเล่มนี้ บอก 10 อาการ ของคนที่ยังไม่พร้อมที่จะลาออกจากงานประจำ 
จะขอบอกแค่ 5 อาการของเราเอง ที่เหลือลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูนะ

อาการแรก "ไม่มีเงินเก็บเลยสักนิด ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน"
จริง ๆ เราก็มีออมกับกบข.นะ แต่มันไม่ใช่เงินที่จะดึงมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ไง 
ถ้าเงินใช้กินใช้จ่ายปกติยังไม่ค่อยจะพอ แล้วยังลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจ
เราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจล่ะ มันต้องใช้เงินจำนวนนึงอยู่แล้ว 
ในช่วงระยะเวลานึงด้วยกว่าธุรกิจจะนิ่งจนได้กำไร
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเงินก้อนใหญ่ ๆ ก้อนนึง คงรอดยาก

อาการที่สอง "ไม่เคยมีรายได้จากทางอื่นเลย"
อันนี้ก็ชัดนะ ถ้ารายได้หลักมาจากทางเดียว คือ งานประจำ ลาออกไปก็ไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเองเลย

อาการที่สาม "มีเพื่อนรายล้อมด้วยมนุษย์เงินเดือนทั้งนั้น"
การอยู่ในสังคมมนุษย์เงินเดือน อาจจะทำให้มองว่าลาออกไปทำธุรกิจ มันยาก มันเป็นไปไม่ได้ ก็เพราะเราไม่เห็น ไม่รู้จักคนที่เขาทำธุรกิจได้ซึ่งมันก็มีอยู่ ไม่ได้ไปศึกษาว่าเขาคิด เขาทำยังไง 

อาการที่สี่ "อิจฉาคนที่ประสบความสำเร็จ อิจฉาคนที่รวยกว่า"
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จไม่รู้สึกอิจฉานะ ชอบด้วยซ้ำ
แต่สำหรับคนที่รวยกว่าจะรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบ  เมื่อก่อนเราคิดไปเองว่า คนรวยมาก ๆ ต้องเครียด ต้องลำบาก ดิ้นรนหาเงินไว้เยอะ ๆ เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งตาย ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลานแย่งกันอีก 
เฮ้ย เราไม่อยากเป็นอย่างนั้นไง แต่ก็ไม่ใช่คนรวยมาก ๆ ทุกคนจะเป็นแบบนี้ แค่ส่วนใหญ่ ฮา...  
มาวิเคราะห์ตัวเองที่หลังว่า เราแค่ยึดติดกับความคิดผิด ๆ อ่ะ คนรวยเขาไม่ผิดหรอก เพราะเป้าหมายในชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราเองที่ผิดที่มีความกลัว ไม่กล้าเรียนรู้ หรือลองเริ่มทำอะไร ๆ ใหม่ ๆ มากกว่า จะเป็นคนรวยมาก ๆ ได้ มันต้องมี passion เป้าหมายต้องชัด ไม่งั้นทำไม่ได้หรอก

อาการสุดท้าย "เม้าท์ โม้ นินทาคนอื่น ๆ เลื่อยขาคนอื่นวัน ๆ "
เพราะความคิดที่ว่า "เรื่องไร้สาระคือสาระของชีวิต" บางครั้งเลยใช้เวลาส่วนนึงเม้าท์คนโน้นคนนี้บ้าง ขำๆ สร้างเสียงหัวเราะไง โดยเฉพาะเม้าท์เรื่องหัวหน้าเนี่ย สนุก... หรือใช้เวลาส่องเฟสชาวบ้าน ไปกินที่ไหนทำอะไรกันบ้าง ดูข่าววงการบันเทิงอัพเดทตลอดๆ ซึ่งเสียเวลามาก ไม่ได้อะไรนอกจากขำไปวันๆ รู้แต่เรื่องดารา สำหรับการเลื่อยขาคนอื่นนั้น ทำไม่เป็นนะ ไม่สามารถ...ไม่ได้เป็นคนที่โหดร้ายและอยู่ในสังคมแบบนั้น

นอกจากอาการที่ทำให้ต้องวนเวียนทำงานประจำลาออกไม่ได้แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังบอกวิธี "สร้างล้านแรก" ไว้ด้วยนะ ผู้เขียนอธิบายยกตัวอย่างง่าย ๆ เลย เริ่มจากขายของกำไรชิ้นละ 1 บาท ก็แค่ขายให้ได้ล้านชิ้น ก็ได้ล้านแรกแล้ว แต่ถ้าเลือกขายสินค้าราคาสูงขึ้น จำนวนชิ้นที่ต้องขายให้ได้ก็จะลดลง อาจเลือกขายสินค้าที่ราคาสูงและได้กำไรหลายเท่าตัว แต่เราก็ต้องดูว่าสามารถเข้าถึงลูกค้าระดับนั้นมั้ย มีคู่แข่งหรือเปล่า ถ้าเลือกขายสินค้าตามกระแส หากกระแสตกแล้วจะทำยังไง
สุดท้ายผู้เขียนแนะนำ "วิธีสร้างล้านแรกสำหรับมนุษย์เงินเดือน" ให้ด้วย เริ่มแค่ว่าอยากมีล้านแรกภายในเวลาเท่าไหร่ ถ้าต้องการภายใน 5 ปี ก็ให้เอา 1,000,000 บาท/60 เดือน แปลว่าคุณต้องมีเงินเก็บ (รายได้หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว) เหลือเดือนละประมาณ 17,000 บาท
ผู้เขียนบอกไว้ว่ามักจะได้ยินคนบ่นให้ฟังเสมอ ๆ ว่าเก็บเงินไม่ได้ ถึงแม้จะมีเงินเดือนหลักแสนก็ตาม เป็นเพราะมีภาระค่าใช้จ่ายมากจึงไม่ค่อยเหลือเก็บหรอก แต่สำหรับบางคนที่มีเงินเดือนหลักหมื่นแล้วรู้จักใช้จ่ายอาจมีเงินเหลือเก็บต่อเดือนมากกว่าคนเงินเดือนหลักแสนด้วยซ้ำไป

หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เราก็มี passion ที่จะลด ละ 5 อาการที่ว่า และตั้งเป้าหมายสร้างเงินล้านแรกให้ได้ ด้วยการออม 15% กับกบข. ลองเรียนรู้ทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทักษะใช้หารายได้หลาย ๆ ทาง เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมของคนที่เขาทำล้านแรกได้ สิบล้าน ร้อยล้านได้ พยายามศึกษาวิธีคิดและการลงมือทำของเขา สุดท้ายตั้งเป้าหมาย เก็บเงินเดือนละ 10,000 บาท 100 เดือน (8 ปี 4 เดือน) ก็จะได้ล้านแรก แต่จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ถึง 8 ปีก็ได้นะ อยู่ที่ว่าเดือนละหมื่นเราเอาไปเก็บยังไงทำให้มันงอกเงยได้หรือเปล่า อีกหนึ่งตัวช่วยหลักในการสร้างล้านแรกให้เร็วขึ้น คือการหารายได้ให้ได้หลาย ๆ ทางนั่นเอง

commitment and do it right now !!!






ความจริงเรื่องสมอง

ขอบคุณหนังสือ "สมองเศรษฐี"
โดย "ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร"


จิต ความคิด สมอง ความจริง

        คุณขุนเขาอธิบายไว้ว่า "เศรษฐี" คือ ผู้ที่สามารถจะ "ให้ได้มากกว่า"
ให้เงิน ให้เวลา ให้ความสุข แก่ผู้อื่น ถ้าเขาให้ก็จะเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่กับสังคม
คุณว่าจริงมั้ย? คงจะ
เหมือนที่ "คุณจิมมี่ ชวาลา" เศรษฐีแห่งเมืองนครศรีธรรมราช ได้ให้กับสังคมตลอดมา...

คุณขุนเขา บอกเรื่องสมองไว้ว่า

"เราไม่ได้มองเห็นด้วยตา แต่เรามองเห็นด้วยสมอง สมองจะมองเห็นเฉพาะสิ่งที่เรามองหา"

"สมองจะไม่ต่อต้านสิ่งที่ใช้พลังงานน้อย ฉะนั้นอย่าคิดล่วงหน้าไปถึงสิ่งที่ทำแล้วเหนื่อย"

"สมองชอบทำสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วให้เสร็จ คิดจะทำอะไรดี ๆ ให้ทำทันที
 เพราะเมื่อเริ่มแล้ว สมองจะทำต่อไปเองจนเสร็จ"

"เราไม่ได้ดึงดูดสิ่งที่เราต้องการ แต่เราดึงดูดสิ่งที่เราคู่ควร"

     เมื่อรู้ความจริงเรื่องสมองแล้ว เราจะทำยังไงให้มี "สมองเศรษฐี" กันดีล่ะ

เริ่มทำซะ...

1. บอกสมองให้เห็นภาพชัด ๆ ว่าสิ่งที่เราต้องการ คืออะไร 
    ยิ่งชัดเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะสมองจะหาจนเจอในสักวันนึง
    เราต้องการงานแบบไหน เพื่อนลักษณะยังไง คู่ชีวิตเป็นอย่างไร
    คิดเป็นภาพและเวลาที่ชัดเจน

2. ถ้าจะเริ่มออกกำลังกาย เพื่อดูแลสุขภาพ
    สมมติว่าจะวิ่ง คุณก็คิดแค่ว่า " 5 โมงเย็น ไปเปลี่ยนชุดออกกำลังกาย" แค่นั้น...
    ไม่ต้องนึกภาพต่อถึงสภาพวิ่งไปหอบไป เดี๋ยวสมองจะสั่งไม่ทำ

3. แม้จะขี้เกียจมากแค่ไหน กัดฟันนิด ขอแค่ "เริ่มทำ" สมองจะสั่งการทำต่อให้เสร็จเอง

4. เราอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไร เราก็แค่ "ลงมือทำตัวเราเอง" ให้คู่ควรกับสิ่งนั้น ๆ


เพียงแค่นึกภาพบอกสมองให้ชัด และเริ่มลงมือทำ 
เราจะเป็นคนที่คู่ควร...











3 หลักคิด สู่การมีวินาทีชีวิตที่คุ้มค่า

ขอบคุณหนังสือ "สมองทองคำ"
โดย "ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร"

หนทางสู่ความมั่งคั่ง


สิ่งที่ได้หลังจากอ่านเล่มนี้... "ความรวย คนรวยไม่ได้แย่ คนธรรมดา ๆ ก็รวยได้"

       หนังสือเล่มนี้อธิบายการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงกับการสร้างความรวย มีคำคมโดน ๆ เยอะ!!! อ่านแล้วจี๊ด..เจ็บ กลับมาย้อนมองตัวเองว่าเออ...จริง เพราะเราไม่ทำแบบนี้นี่เอง เลยรวยช้า... มาดูกันค่ะ

เขาบอกว่า "ความกลัวไม่เคยหายไปจากการคิด แต่ความกลัวจะหายไปจากการทำ"

เขาบอกว่า "เสพสิ่งที่ดีเท่าไหร่ ก็จะมีสมองที่ดีเท่านั้น"

เขาบอกว่า "สร้างได้เก่งเท่าไหร่ ก็จะประสบความสำเร็จมากเท่านั้น"

เขาบอกว่า "คุณภาพของตัวเลือกในวันพรุ่งนี้ ขึ้นอยู่กับ คุณภาพของตัวเราในวันนี้
                    จงตั้งใจทำวันนี้ให้ดี แล้วพรุ่งนี้ตัวเลือกของเรา จะมีคุณภาพเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน"


       อ่านจบก็...คิดและทำต่อกันดีกว่า จากข้อคิดที่เขาให้ เราก็นำมาเป็นแนวทาง...เริ่มทำซะ

1. ใช้เวลาคิดหมกหมุ่นกับ "ความกลัว" น้อย ๆ ให้เวลากับการหา "วิธี" ลงมือทำให้มาก ๆ ถึงทำ
    แล้วพลาด ก็ยังได้บทเรียนรู้


2. เลือกทำสิ่งที่มีคุณค่า ดูและฟังสิ่งที่พัฒนาตัวเอง จนไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน

3. ทำตัวเองวันนี้ ให้ดีกว่าคนเมื่อวาน

      ลงมือทำ สำคัญกว่าคิดๆๆๆ นะคะ เริ่มทำซะ

4 วิธีคิด เปลี่ยนชีวิตมนุษย์เงินเดือน

ขอบคุณหนังสือ "เปลี่ยนงานประจำธรรมดา เป็นวิชาสร้างชีวิต" โดย "เธมส์นที สุวรรณพลาย" 



อิสรภาพ คือ ความสุข


ความรู้สึกหลังอ่านหนังสือเล่นนี้จบคือ "ไฟในการทำงานลุกพรึบ!!! งานประจำมันโคตรจะดีอ่ะ" 

           จุดเปลี่ยนในชีวิตของคนคนนึงคงมีไม่กี่ครั้ง และครั้งนี้มันเริ่มมาจากการได้อ่านหนังสือเล่มนี้
มันเปลี่ยนมนุษย์เงินเดือนคนนึงให้มีพลังมีไฟ อยากทำงาน อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา เริ่มคิดหารายได้หลายทาง เริ่มหาวิธีพัฒนาตัวเอง เริ่มอ่านหนังสือให้หลากหลาย จนสุดท้ายเริ่มลงมือทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ เราจึงอยากส่งต่อบทความดีๆ ส่วนนึงของหนังสือเล่มนี้ที่โดนใจเรา เผื่อใครที่อ่านแล้วบางคน อาจจะรู้สึกดี ๆ เหมือนเรา เกิดอยากปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตในทางที่ดีขึ้น...

เขาบอกว่า "งานประจำ คือ โรงเรียนที่เขาจ้างเรา มาพัฒนาตัวเอง"

เขาบอกว่า "งานประจำนี่แหละ คือ สนามฝึกตัวเองที่ดีที่สุด"

เขาบอกว่า "มีงานอะไรที่อยู่ตรงหน้า ทำมันให้ดี คุณไม่รู้หรอกว่า มันอาจพาคุณไปเจอสิ่งที่คุณรัก" 

เขาบอกว่า "ระบบการศึกษา คือ เราได้เป็นก่อนเราถึงจะได้ทำ แต่ระบบการทำงาน คือ เขาทำได้เขาถึงได้เป็น"

          จากสิ่งที่เขาบอก เราฉุกคิดได้ว่า เราต้องเริ่ม.....บอกกับตัวเองว่า.......เริ่มทำซะ!!!

1. หน้าที่เรา คือ เรียนรู้งานให้มากที่สุด

2. มีงานใหม่ ๆ รับมาอย่าไปกลัว ถึงเวลาลงสนามฝึกแล้ว ไม่มีใครลงแข่งสนามแรกแล้วเก่งเลย
มันต้องฝึก !!! 


3. รับผิดชอบงานของตัวเอง คือการเคารพรักตัวเอง ทำเพื่อตัวเองในอนาคต


4. คนส่วนใหญ่ที่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะทำงานเก่งกว่าเนื้องานในระดับขั้นของเขาเสมอ
ดังนั้นเราต้องเรียนรู้เรื่องสำคัญให้เกินขอบเขตงานของตัวเอง


วันนี้เรามา...เริ่มทำซะ...ด้วยกันนะคะ